Omicron ผลักเงินเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย Top Pick เลือก ADVANC, CPN และ MCS
รายงานการพบผู้ติดเชื้อ Omicron ของบ้านเราวันเดียวที่สูงถึง 63 ราย และ รอการยืนยันอีกราว 20 ราย เป็น Sentiment หลักที่สร้างแรงกดดันต่อตลาด การเงิน โดยพบว่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าลงไปอยู่เหนือ 33.7 บาท/USD นัก ลงทุนต่างชาติ และสถาบันในประเทศขายสุทธิในหุ้นไทย ภาพที่เกิดขึ้น ประกอบกับการที่เข้าสู่ช่วงเทศกาลวันหยุดปีใหม่ คาดว่าน่าจะทำให้เห็น ธุรกรรมการซื้อขายบางลงและเริ่มมีการพักเงินไว้ในสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ส่วนประเด็นที่ต้องติดตามนอกจากพัฒนาการของ Omicron ในประเทศไทย แล้ว ยังมีการประชุม ครม. ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติม หรือไม่ โดยความสนใจอยู่ที่ ช้อปดีมีคืน รวมถึง คนละครึ่งเฟส 4
ยังมีโอกาสเกิด Panic จากเรื่อง Omicron คาด SET Index มีแนวรับแรกที่ 1600 จุด ถัดมาอยู่ที่ 1577 จุด พอร์ตจำลองให้ Cut Loss หุ้น BH และถือ เงิเนสดเพิ่มปํน 20% หุ้น Top Pick เลือก ADVANC, CPN และ MCS
ความกังวล Omicron หวนกลับมากดดันตลาดหุ้นโลก และตลาดหุ้นไทย
ความกังวลการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ Omicron หวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ภายหลังตรวจพบในกว่า 90 ประเทศ ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อในหลายประเทศทั่วโลกมี แนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐ ขณะที่ในเอเชียจำนวนผู้ติด เชื้อยังดูมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นน้อยกว่า (ดังรูป) เช่น อังกฤษพบผู้ติดเชื้อ Omicron แล้ว 37,101 ราย (50% ของผู้ติดเชื้อรายใหม่) และมีผู้เสียชีวิตรวม 12 ราย
สถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนักข้างต้น ส่งผลให้หลายประเทศในยุโรปกลับมาเพิ่มความเข้มงวด ของมาตรการควบคุมการระบาด เช่น
• เนเธอร์แลนด์ประกาศ Lockdown เต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2564 ที่ผ่าน มา โดยปิดร้านค้า-ธุรกิจที่ไม่จำเป็นทั้งหมด • เดนมาร์กปิดโรงละคร, คอนเสิร์ต, สวนสนุก และจำกัดจำนวนคนเข้าร้านค้า ต่างๆ
• ไอร์แลนด์ให้สถานบันเทิงปิดภายในเวลา 20.00 น.
• เยอรมนีประกาศกักตัวผู้เดินทางจากอังกฤษ 14 วัน ไม่ว่าจะฉีดวัคซีนหรือไม่
• ฝรั่งเศสยกเลิกกิจกรรมกลางแจ้งและการรวมกลุ่มขนาดใหญ่ในคืนวันส่งท้ายปี ความกังวลจากสายพันธุ์Omicron ของทั่วโลกข้างต้น สร้างแรงกดดันต่อตลาดการเงิน โลกต่อ สะท้อนจากราคาสินทรัพย์เสี่ยงหลายชนิดปรับลง ทั้งตลาดหุ้นโลก และราคา สินค้าโภคภัณฑ์
ในส่วนของไทย วานนี้ พบผู้ติดเชื้อ Omicron อีก 63 ราย และมีผู้ติดเชื้อเข้าข่ายที่ยัง อยู่ระหว่างรอผลอีกกว่า 20 ราย ยิ่งไปกว่านั้น ไทยยังตรวจพบผู้ติดเชื้อ Omicron ราย แรกที่ไม่มีประวัติเดินทางมาจากต่างประเทศ ซึ่งนับผู้ติดเชื้อ Omicron จากในประเทศ เป็นรายแรก (Local Transmission)
ประเด็นดังกล่าวสร้างความกังวลว่าไทยมีโอกาสเผชิญการระบาดของสายพันธุ์ Omicron ในประเทศตามมาได้ ซึ่งต้องติดตามท่าทีของภาครัฐว่าจะมีแนวโน้มเพิ่ม ความเข้มงวดมาตรการควบคุมมากขึ้นหรือไม่ และหากอิงจากกระแสข่าว พบว่าจะเน้น ไปที่การเพิ่มความเข้มงวดของการเดินทางเข้าประเทศเป็นหลัก โดยกำลังพิจารณา ยกเลิกการตรวจคัดกรองแบบ Test & Go (พักในโรงแรมที่กำหนดอย่างน้อย 1 คืน) และกลับไปเป็น Sandbox (อยู่ในพื้นที่ที่กำหนดอย่างน้อย 7 วัน)
ภาพรวม การระบาดของสายพันธุ์ Omicron ที่เพิ่มโอกาสให้ทั่วโลก และไทยกลับมา ดำเนินมาตรการควบคุมเข้มงวดขึ้นอีกครั้ง จะเป็นปัจจัยที่ท้าทายการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจโลกในปี 2565 ต่อไป ส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกและไทยยังมีโอกาสอยู่ภายใต้แรง กดดันของความกังวลดังกล่าวอยู่ ประกอบกับช่วงท้ายของปีอาจส่งผลให้ตลาดยังขาด ปัจจัยหนุนสำคัญได้ แม้ช่วงเช้าวันนี้ ตลาดหุ้นเอเชียจะกลับมาฟื้นตัวได้บ้าง แต่ประเมิน เป็นเพียง Technical Rebound หลังปรับฐานแรงไปในช่วงก่อนหน้า
เงินบาทอ่อนค่าแรงจะแตะ 34 บาทอีกครั้ง และส่งออก พ.ย. โตกว่าคาด 24.7% ดี ต่อหุ้นส่งออก … เชื่อว่าในวันนี้หุ้นในกลุ่มส่งออกคาดจะเกิดกระแสการเก็งกำไร จากปัจจัยแวดล้อมหนุน
-
เงินบาทต่อดอลลาร์ เช้านี้อ่อนค่าแรงต่อเนื่องติดต่อกัน 2 วัน รวมราว 1.6% และมีแนวโน้มจะอ่อนค่าต่อไปแตะ 34 บาทซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญอีกครั้ง ล่าสุดอยู่ที่ 33.7 บาท (ดังรูป) ผลจากโควิด Omicron ในไทย
-
ยอดส่งออกไทย เดือน พ.ย. 2564 กระทรวงพารณิชย์รานยงาน ขยายตัว 24.7%yoy สูงกว่าตลาดคาดจะขยายตัว 18%yoy การนำเข้าเดือน เดียวกันขยายตัว 20.5%yoy ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 23%yoy เล็กน้อย
-
โดยรวมทั้ง 2 ประเด็นถือเป็นปัจจัยหนุน ต่อหุ้นในกลุ่มส่งออก ASPS แนะนำหุ้น ส่งออกที่ปัจจัยพื้นฐานแกร่ง อาทิ เช่น NER, STA, TU, AH, SAT และ MCS เป็นต้น
ช้อปดีมีคืน และ มาตรการหนุนรถ EV รอลุ้นจาก ครม.วันนี้
ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีตลาดหุ้นไทยผันผวน ได้รับผลกระทบจากประเด็นโควิด Omicron ที่กระแสกดดันเข้ามาต่อเนื่อง กดดันหุ้นเกือบทุก Sector และดูเหมือนว่า หุ้นที่ปรับขึ้นเมื่อวันก่อน ดูเหมือนจะขึ้นตามกระแสปัจจัยหนุนเฉพาะกลุ่ม โดยวันนี้ เชื่อว่าตลาดน่าจะรอและเก็งกำไรประเด็น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล ซึ่งรอ ผลประชุม ครม. 2 มาตรการที่เคยนำเสนอ คือ
-
มาตรการ ‘ช้อปดีมีคืน’ (นำใบเสร็จค่าใช้จ่ายสินค้า-บริการมาหักลดหย่อน ภาษีคาดวงเงิน 3 หมื่นบาท) ติดตามรายละเอียดว่าจะมีผลช่วงใด ?? ปลายปี หรือในช่วงต้นปี 2565 ??? ซึ่งบริษัทจดทะเบียนที่จะได้ประโยชน์โดยตรง ได้แก่กลุ่มค้าปลีกโดยเฉพาะกลุ่มที่ขายสินค้า IT อาทิ COM7(FV@84.0), SPVI(FV@8.3), JMART(FV@42.2), กลุ่มตกแต่งบ้าน อาทิ HMPRO(FV@16.0), DOHOME(FV@30.7) กลุ่มห้างสรรพสินค้า เช่น CRC(FV@39.0), CPN(FV@69.0) กลุ่มสินเชื่อบัตรเครดิต AEONTS (FV@B280)
-
บอร์ด EV เตรียมเสนอ ครม. ลดภาษี สรรพสามิตรถ EV เหลือ 2% หรือ มาตรการเสริม 2 กลุ่ม คือ รถ EV ต่ำกว่า 2 ล้าน ลดราคา 20% คาดใช้ เงินกองทุนเพิ่มขีดความสามารถฯ อุดหนุนราคา ติดตามรายละเอียด ?? หรือ คาดเป็น Sentiment บวกต่อ EA(SWITCH: FV@57.0) GPSC(BUY:FV@90.0) PTT (BK:PTT)(BUY:FV@49.5)
โอไมครอน กลับมาสร้างความผันผวนให้ตลาดหุ้นไทย แนะ MCS, ADVANC, CPN
วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงมา 25.93 จุด หรือ 1.58% ด้วยแรงขายจากต่างชาติและ สถาบันฯกว่า 2.9 พันล้านบาท และ 3.0 พันล้านบาทตามลำดับ จากความกังวลโอ ไมครอนที่แพร่ระบาดเข้ามาใกล้ตัวขึ้น ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงได้ทำการหาแนวรับของ SET Index โดยการเปรียบเทียบการปรับ ฐานของดัชนีหุ้นทั่วโลก พบว่า ในช่วงที่กังวลต่อโอไมครอนถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นโลก ปรับฐานลงมาแล้ว-3.41% ขณะที่ SET Index ปรับตัวลดลงมาเพียง -1.98% ทำให้ SET Index ยังสูงกว่าตลาดหุ้นโลกราว 1.43% หรือราวๆ 23 จุด เมื่อนำมาประกอบกับ ภาพทางเทคนิค เชื่อว่าแนวรับถัดไปของ SET อยู่ในโซน 1590-1600 จุด และจุดต่ำสุด ในช่วงที่กังวลต่อโอไมครอน 1568 จุด
รวมถึงพิจารณาว่ากลุ่มไหนได้รับผลกระทบมากน้อยจากโอไมครอน โดยดูจากช่วง สัปดาห์แรกที่กังวลโอไมครอน (26 -30 พ.ย. 64) พบว่า SET Index ปรับฐานแรงถึง 4.84% (ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในการปรับฐานเวลาที่กังวลต่อประเด็นโควิดระลอกที่ 2,3,4 ที่ -5%) โดยกลุ่มหุ้นที่ปรับฐานแรงกว่าตลาด คือ TRANS, BANK, TOURISM, CONS, MEDIA และกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก PERSON (หุ้นถุงมือยาง), ETRON ตามภาพทางด้านล่าง
ดังนั้น SET Index ที่ยังให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดหุ้นโลก แต่ความกังวลต่อการ แพร่ระบาดโอไมครอนในประเทศยังมีต่อเนื่องไปจนถึงช่วงเทศกาลหยุดยาว คริสต์มาส และปีใหม่ ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะผันผวน กลยุทธ์ช่วงสั้นแนะนำถือเงินสด 20% และเน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นที่มีเกราะป้องกันโค วิด + ปันผลสูง ADVANC MCS และหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว CPN เป็น Toppick ในวันนี้
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities