อะไรคือปัจจัยฉุดรั้งการพัฒนาของดอลลาร์ดิจิทัล

เชื่อว่าผู้อ่านทุกคนเคยจะได้ยินเรื่องของความพยายามในการพัฒนาสกุลเงินประจำชาติ ให้เป็นดิจิทัลและกลายมาเป็นสกุลเงินหลักทดแทนการใช้เงินแบบเดิมๆ แต่จนถึงตอนนี้ ประเทศที่มีพัฒนาการของการสร้างสกุลเงินดิจิทัลได้ดีที่สุดเชื่อว่าคงจะต้องเป็นประเทศจีน ตลอดทั้งปี 2021 เรามักจะได้ยินข่าวการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลหยวนมาโดยตลอด แม้ว่ายังไม่มีการประกาศใช้ทั่วประเทศอย่างเป็นทางการ แต่รัฐบาลจีนก็เริ่มทดลองให้ใช้สกุลเงินดิจิทัลกับบางมณฑลแล้ว เมื่อเดือนพฤศจิกายน เจดีดอทคอม (NASDAQ:JD) แพลตฟอร์ม e-commerce ยักษ์ใหญ่ของจีนประกาศชัดเลยว่าทันทีที่รัฐบาลประกาศใช้หยวนดิจิทัล เจดีดอทคอมจะเป็นที่แรกที่ประกาศยอมรับให้ใช้สกุลเงินดังกล่าวชำระค่าบริการต่างๆ ได้

นอกจากประเทศจีนที่พัฒนานำไปไกลแล้ว ประเทศอื่นๆ ก็มีการพูดถึงและตั้งใจจะทำสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองขึ้นมาเช่นกัน ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ก็เป็นหนึ่งในนั้น ครั้งหนึ่งหลังการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดเคยกล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีการดำเนินการเรื่องนี้แล้ว แต่เราจำเป็นต้องสร้างสกุลเงินดอลลาร์ดิจิทัลอย่างระมัดระวัง เพื่อให้มั่นใจว่าสกุลเงินของเราจะเติบโตไปในทิศทางที่ถูกต้องเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่าการสร้างสกุลเงินดิจิทัลของสหรัฐฯ นั้นเป็นไปอย่างล่าช้า ทั้งๆ ที่สหรัฐฯ มีเทคโนโลยีเกี่ยวกับโลกการเงินที่พร้อมอยู่แล้ว นี่คือประเทศผู้สร้าง iPhone เชียวนะ!!

2021 ยังคงเป็นปีทองของสกุลเงินดิจิทัลแนวหน้า

แม้ว่าตอนนี้สกุลเงินดิจิทัลอย่างบิทคอยน์และอีเธอเรียมจะอยู่ในแนวโน้มขาลง แต่ตลอดทั้งปี 2021 ก็ยังถือว่าสามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างน่าประทับใจ

ที่มา: Barchart

ด้านบนนี้คือกราฟบิทคอยน์รายเดือน ในปี 2020 บิทคอยน์มีราคาปิดอยู่ที่ $28,986.74 และในวันที่ 19 ธันวาคมมีราคาปิดอยู่ที่ $46.632.96 จากวันนั้นในปี 2020 ถึงวันนี้ บิทคอยน์ได้ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 60.9%

ที่มา: Barchart

หากคิดว่าขาขึ้นของบิทคอยน์นั้นดีแล้ว แต่อีเธอเรียมทำได้ดียิ่งกว่า ในวันที่ 31 ธันวาคม 2020 เหรียญอีเธอเรียมยังมีมูลค่าอยู่ที่ $738.912 แต่มาวันนี้ ในวันที่ 19 ธันวาคมปี 2021 สกุลเงินอีเธอเรียมมีราคาซื้อขายอยู่ที่ $3,905.221 คิดเป็นการเพิ่มขึ้นของมูลค่า 5.28 เท่า ในปี 2020 มูลค่ารวมทั้งหมดของตลาดสกุลเงินดิจิทัลเคยมีตัวเลขอยู่ที่ $767.482 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่ตอนนี้ได้เติบโตเพิ่มขึ้นมาเป็น $2.203 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นการเติบโตของมูลค่าขึ้น 2.87 เท่า ปีนี้ขาขึ้นของบิทคอยน์เทียบอะไรไม่ได้กับอีเธอเรียมเลย

จริงอยู่ว่าจากข้อมูลทางสถิตินี้แสดงให้เห็นการเติบโตของโลกคริปโตเคอเรนซี่อย่างรวดเร็ว แต่ความเร็วนั้นก็เป็นเหมือนดาบสองคม บางทีเร็วเกินไปแต่ถ้าไม่มีความระมัดระวัง ก็อาจนำมาซึ่งหายนะได้ สกุลเงินดิจิทัลเองก็เช่นกัน เหรียญที่ทะยานขึ้นเร็วโดยไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการที่น่าจะเป็นไปได้มารองรับ ก็มีโอกาสที่เหรียญนั้นจะกลายเป็นขยะได้ในพริบตา ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือมืออาชีพ การเอาเงินส่วนมากมาลงทุนกับเหรียญเหล่านี้ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย

วิวัฒนาการของสกุลเงินดิจิทัลได้ปฏิวัติโลกการเงิน และสร้างการแบ่งแยกทางอุดมการณ์ความคิด ไม่ว่าจะเป็นโลกเสรีนิยมหรือคอมมิวนิสต์ การมาถึงของสกุลเงินดิจิทัลทำให้โลกทั้งสองใบต่างต้องหาทางปรับใช้ ให้การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นประโยชน์ต่อพวกเขามากที่สุด ถึงแม้ว่าทั้งสองขั้วจะมีวิธีคิดกับสกุลเงินดิจิทัลที่ต่างกันออกไป แต่สิ่งที่พวกเขายอมรับเหมือนกัน (แต่ไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ) คือความแข็งแกร่งของเทคโนโลยีบล็อกเชน 

อันที่จริง เทคโนโลยีบล็อกเชนถูกเริ่มร่างโครงสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 1991 โดยนักวิจัยสองคนนาย Stuart Haber และ W. Scott Stornetta ในตอนนั้นบล็อกเชนถูกสร้างขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นตราปั้มเวลาของเอกสาร ไม่ให้ถูกคัดลอกได้ แต่บล็อกเชนนั้นกลับไม่เป็นที่รู้จักเมื่ออยู่ในมือของนักวิจัยทั้งสอง แต่มาเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางในวันที่ซาโตชิ นากาโมโต้ ได้เอาสิ่งที่เรียกว่า “สกุลเงินดิจิทัล” ที่มีชื่อว่า “บิทคอยน์” ไปวางอยู่บนระบบ 

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นสกุลเงินสำรองอันดับหนึ่งของโลก

ดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินสำรองของโลก หมายความว่าธนาคารกลาง รัฐบาล และหน่วยงานด้านการเงินทั่วโลกถือสกุลเงินสหรัฐเป็นทุนสำรอง สกุลเงินสำรองสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างอิสระ มีเสถียรภาพ และสะท้อนถึงสถานภาพทางเศรษฐกิจในประเทศที่เป็นเจ้าของสกุลเงินนั้นๆ

เช่นเดียวกับสกุลเงินประจำชาติในระบบการเงินปัจจุบัน ดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินที่มีค่าจากความศรัทธาและเครดิตของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น รัฐบาลสามารถเพิ่มหรือลดอุปทานของดอลลาร์ เพื่อจัดการกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้ตลอด ในกรณีที่เลวร้าย พวกเขาสามารถเข้าแทรกแซง ซื้อหรือขายดอลลาร์ ยูโร เยน ปอนด์ และสกุลเงินอื่นๆ ได้ตลอด โดยสามารถให้เหตุผลง่ายๆ ว่าเพื่อป้องกันความผันผวนที่รุนแรง 

นั่นคือสิ่งที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นในปัจจุบัน แต่ถ้ามีเรื่องของการเป็นสกุลเงินดิจิทัลเข้ามา มีลำดับตัวเลขที่สามารถระบุจำนวนของแบงก์ทุกใบที่มีในระบบได้ การเพิ่มหรือลดอุปทานของเงินดอลลาร์ในระบบจะไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป แต่คำถามคือตอนนี้กระบวนการสร้างสกุลเงินดอลลาร์ดิจิทัลไปถึงไหนแล้ว?

อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่าการดำเนินการสร้างสกุลเงินดิจิทัลดอลลาร์ดำเนินไปอย่างล่าช้ามาก เท่าที่ทราบข่าวตอนนี้มีเพียงนางเลล์ เบรนนาร์ด ว่าที่รองประธานเฟดคนใหม่เท่านั้นที่ออกมากระตุ้นให้เฟดเร่งสร้างสกุลเงินดอลลาร์ดิจิทัลโดยด้่วน ในเดือนกรกฎาคม เธอกล่าวว่า

“ดิฉันไม่สามารถเข้าได้เลยว่าทำไมสหรัฐอเมริกาถึงไม่เร่งพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองอย่างจริงจัง ทั้งๆ ที่ชาติอื่นๆ โดยเฉพาะจีนเค้าทำกันไปถึงไหนแล้ว”

ในขณะเดียวกัน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ นางเจเน็ต เยลเลน ได้พูดถึงการสร้างสกุลเงินดอลลาร์ดิจิทัลว่า

“ฉันเห็นถึงทั้งข้อดีและขอเสียของการทำดอลลาร์ดิจิทัล ส่วนตัวแล้วฉันมองว่าเรายังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้”

ในขณะที่เฟดมัวแต่อ้างว่ากำลังศึกษาศักยภาพของเงินดอลลาร์ดิจิทัล แต่ก็ยังไม่เคยมีข่าวความคืบหน้าอย่างจริงจังในการเปิดรับฟินเทคและวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีของการเงิน สหรัฐฯ อาจเป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดด้วยสกุลเงินดอลลาร์ที่พวกเขามี แต่กระต่ายที่ยังหลงลำพองคิดว่าตัวเองยังนำหน้าเต่าอยู่อีกไกล วันหนึ่งก็อาจโดนเต่าที่ถึงแม้จะเดินช้า แต่เดินทุกวันอย่างมั่นคงแซงได้

ไหนๆ ก็พูดถึงเต่าแล้ว เราจะไปดูกันว่าตอนนี้เต่าอย่างจีนกำลังทำอะไรกับการสร้างสกุลเงินดิจิทัลหยวนอยู่ ข่าวล่าสุดที่เรามีคือจีนได้เข้าสู่เฟสสองของการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลแล้ว ตอนนี้จีนกับฮ่องกงกำลังร่วมมือกันทดสอบการใช้งานสกุลเงินดิจิทัลหยวน ในอนาคตจีนยังมีแผนที่จะทำให้หยวนดิจิทัลมีการใช้งานในภูมิภาคอื่นๆ ของเอเชียด้วย หากหยวนดิจิทัลกลายเป็นที่ยอมรับ ใช่ว่าตำแหน่งราชาสกุลเงินสำรองของดอลลาร์จะไม่สั่นคลอน

การเพิ่มขึ้นของจำนวนสกุลเงินดิจิทัลคือสิ่งที่เตือนว่าผู้คนจำนวนมากกำลังหมดศรัทธากับระบบการเงินแบบเก่าๆ นี่เป็นสัญญาณว่ามนุษย์มีความรู้มากพอที่จะใช้อะไรเป็นตัวกลางการแลกเปลี่ยนก็ได้ ถ้าทั้งสองฝ่ายยินยอมการใช้สิ่งๆ นั้นเป็นตัวกลาง สหรัฐฯ จำเป็นต้องดำเนินการสร้างดอลลาร์ดิจิทัลอย่างจริงจัง มิฉะนั้นอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียสถานะสกุลเงินสำรองอันดับหนึ่งของโลกไปได้