ตลาดหุ้นวอลล์ สตรีทเตรียมพบความผันผวนส่งท้ายปี 2021 ได้เลย เพราะสัปดาห์นี้จะมีการประชุมครั้งสุดท้ายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในปี 2021 และถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ถึงผลการประชุมของวันที่ 14-15 ธันวาคมนี้ สิ่งที่ตลาดลงทุนคาดหวังจากการประชุมในครั้งนี้คือการร่นระยะเวลาลด QE และความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ถือว่าค่อนข้างเซอร์ไพรส์ตลาดลงทุนอยู่พอสมควร ที่วันศุกร์ที่แล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ ทั้งๆ ที่ดัชนีราคาผู้บริโภคทะยานขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบ 39 ปี ดัชนีเอสแอนด์พี 500 สร้างจุดสูงสุดใหม่ด้วยการปรับตัวขึ้น 2.8% ดาวโจนส์ทำขาขึ้นมาตั้งแต่วันจันทร์รวมแล้ว 4% ส่วนแนสแด็กปรับตัวขึ้นอีก 3,6% ผู้เชียวชาญบางสำนักเผยว่าขาขึ้นครั้งนี้เกิดจากตลาดลงทุนเชื่อว่าเฟดจะไม่เร่งแผนการร่นระยะเวลาลด QE ถึงแม้ว่าจะมีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอน
ถึงแม้ว่าการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเป็นอีเวนต์ที่ตลาดลงทุนให้ความสนใจมากที่สุดในสัปดาห์นี้ แต่เราก็ไม่พลาดที่จะหยิบยกหุ้นสามตัวที่เด่นที่สุดประจำสัปดาห์นี้มาฝากอีกเช่นเคย
1. FedEx
บริษัทผู้ให้บริการขนส่งพัสดุที่ใหญ่ที่สุดในโลกเฟดเอ็กซ์ (NYSE:FDX) จะรายงานผลประกอบการแบบปีงบประมาณของไตรมาสที่ 2 ปี 2022 ในวันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาสนี้ เฟ็ดเอ็กซ์จะสามารถทำกำไรได้ $22,410 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $4.27
สาเหตุที่รายงานผลประกอบการของเฟดเอ็กซ์สำคัญ เป็นเพราะนักลงทุนสามารถใช้ผลประกอบการของพวกเขาเป็นดัชนีชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ ว่ามีความเคลื่อนไหวมากน้อยเพียงใดหลังจากที่โลกฟื้นตัวกลับมาจากวิกฤตโควิดแล้ว ที่สำคัญข้อมูลจากเฟดเอ็กซ์จะสามารถบอกถึงความรุนแรงของปัญหาซัพพลายเชนขาดแคลนได้ไม่มากก็น้อย
ในเดือนกันยายน เฟดเอ็กซ์ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรประจำปีลงหลังจากที่กำไรประจำไตรมาสไม่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้ เฟดเอ็กซ์ให้เหตุผลว่าการขาดแคลนแรงงานทำให้ต้นทุนการขนส่งสูงขึ้น และอัตราการส่งของชะลอตัวลดลง บริษัทคาดว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมานี้คิดเป็นมูลค่าประมาณ $450 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลอดหกเดือนล่าสุด หุ้นเฟดเอ็กซ์ปรับตัวลดลงมาแล้ว 16% มีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $246.28
2. Adobe Systems
บริษัทเจ้าของโปรแกรมตัดต่อรูปชื่อดัง “Photoshop” นามอาโดบี (NASDAQ:ADBE) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี ในวันเดียวกันกับเฟดเอ็กซ์ แต่จะรายงานตั้งแต่ตลาดลงทุนสหรัฐฯ เปิดทำการ นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาสนี้ อาโดบีจะสามารถทำกำไรได้ $4,100 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $3.2
ในเดือนสิงหาคม นาย Shantanu Narayen ผู้ดำรงตำแหน่งเป็น CEO ของอาโดบีได้ดำเนินการควบรวมกิจการกับบริษัท Frame.io สตาร์อัพ ทำซอฟต์แวร์เกี่ยวกับการทำวิดีโอประยุกต์ในมูลค่า $1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ การควบรวมกิจการครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายเพิ่มอัตราการเติบโตต่อปีให้เพิ่มขึ้นเป็น 20%
นอกจากนี้ ในปี 2021 อาโดบีได้กำไรจากความต้องการซอฟต์แวร์สำหรับการนำข้อมูลขึ้นไปอยู่บนคลาวด์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ PDF และซอฟต์แวร์ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกซ์ เมื่อช่วงเดือนกันยายน ตอนที่อาโดบีอัปเดตข้อมูลปีงบประมาณของไตรมาสที่ 4 พวกเขาบอกว่ากำไรจากสื่อดิจิทัลจะเพิ่มขึ้นเป็น 20%
ตอนนี้แผนการของอาโดบีคือขยายธุรกิจเกี่ยวกับคลาวด์ซอฟต์แวร์ ให้มียอดผู้ใช้งานสูงกว่าคู่แข่งคนสำคัญอย่างเซลล์ฟอร์ซ (NYSE:CRM) ให้ได้ ในปีนี้ หุ้นอาโดบีปรับตัวขึ้นมาแล้วประมาณ 30% มีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $654.45
3. Pfizer
บริษัทผู้ผลิตวัคซีนต้านโควิดนามไฟเซอร์ (NYSE:PFE) อาจจะมีแต้มต่อเพิ่มขึ้นในสัปดาห์นี้ หลังจากบริษัทได้ออกมาพูดถึงความจำเป็นในการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อต่อกรกับโควิดสายพันธุ์ใหม่นามโอมิครอน
อ้างอิงข้อมูลจากสำนักข่าวบลูมเบิร์ก พวกเขารายงานว่าวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้ทดลองในห้องทดลอง ณ อเมริกาใต้สามารถต้านทานเจ้าโควิดสายพันธุ์ใหม่นี้ได้เพียง 22.5% เท่านั้น จากข่าวนี้ บริษัทไฟเซอร์จึงได้ประกาศออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ไปแล้วสองเข็มอาจจำเป็นต้องได้รับบูสเข็มที่สาม เพื่อลดความเสี่ยงเมื่อต้องเผชิญกับโอมิครอน
ในมุมมองของนักลงทุน ข่าวดังกล่าวหมายความว่าบริษัทไฟเซอร์และพาร์ทเนอร์อย่างไบโอเอ็นเทค (NASDAQ:BNTX) จะมีทางได้ขายวัคซีนเพิ่มอย่างแน่นอน นับตั้งแต่จุดต่ำสุดในเดือนมีนาคมปี 2020 หุ้นของบริษัทไฟเซอร์ก็ได้ปรับตัวขึ้นมามากกว่าสองเท่า มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $52.78 เฉพาะไตรมาสล่าสุด หุ้นไฟเซอร์ปรับตัวขึ้นมาแล้วประมาณ 16%