นับตั้งแต่ไวรัสโควิด-19 มีการกลายพันธุ์เกิดขึ้น การถือกำเนิดของตัวกลายพันธุ์ “โอไมครอน” ถือเป็นตัวแรกที่ทำให้ราคาน้ำมันอ่อนไหวได้มากที่สุด นักลงทุนทิ้งสินทรัพย์ที่มีความต้องการมากที่สุดตัวหนึ่งในตอนนี้ทันทีหลังจากที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศชื่อของไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ พร้อมทั้งให้รัฐบาลทั่วโลกจับตาการกระจายตัวครั้งนี้อย่างใกล้ชิด
ผลกระทบจากการประกาศชื่อโอไมครอนทำให้ราคากองทุน ETF พลังงานชื่อดัง Vanguard Energy Index Fund ETF (NYSE:VDE) ที่ถือหุ้นของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันชื่อดังของอเมริกาอย่างเช่น Exxon (NYSE:XOM) Chevron (NYSE:CVX) เมื่อวันศุกร์ปรับตัวลดลงประมาณ 5% นักลงทุนเชื่อว่าโอไมครอนจะทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจต้องชะลอตัว และความต้องการพลังงานก็จะลดลง
ก่อนหน้าที่จะมีการพูดถึงโอไมครอนกันอย่างกว้างขวาง ตลาดน้ำมันกำลังอยู่ในช่วงดราม่าว่าจะทำอย่างไรถึงจะกดราคาน้ำมันให้ลดลงมาได้ ตลาดทั้งปี 2021 VDE ปรับตัวขึ้นมาแล้วมากกว่า 50% สร้างขาขึ้นมากกว่าดัชนีเอสแอนด์พี 500 สองเท่า ราคาน้ำมันดิบWTI มีราคาซื้อขายในเดือนตุลาคมอยู่ที่ $80 ต่อบาร์เรล ทำสถิติขึ้นถึง $80 ต่อบาร์เรลได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2014
การที่ WHO ประกาศให้จับตาการระบาดของโอไมครอนสะท้อนให้เห็นถึงความอันตราย และการระบาดที่สามารถทำได้ย่างรวดเร็วกว่าเดิมของโควิดสายพันธุ์นี้ ความเร็วโอไมครอนอาจชะลอการฟื้นตัว และกดดันบริษัทผู้ผลิตน้ำมันให้ต้ิงกลับเข้าสู่โหมดรักษาสภาพคล่องอีกครั้ง ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลดลงเกือบ 12% จากความกังวลว่าทั่วโลกอาจต้องระงับเที่ยวบินจริงจัง และกลับเข้าสู่การล็อกดาวน์อีกครั้ง
สำนักข่าว Wall Street Journal รายงานการตอบโต้ไวรัสโควิดโอไมครอนของแต่ละประเทศว่าตอนนี้อิสราเอลได้ประกาศห้ามนักท่องเที่ยวจากประเทศที่พบโอไมครอนเข้าประเทศ ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร เยอรมัน และเบลเยี่ยมมีรายงานพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนแล้ว และอาจจะมีมาตรการคุมเข้มมากกว่าเดิมถูกประกาศออกมาภายในสัปดาห์นี้
ความเห็นของนักวิเคราะห์จากธนาคารชื่อดัง
กลับเข้ามาสู่คำถามที่ว่า “สมควรเข้าซื้อหุ้นของบริษัทน้ำมันตอนนี้เลยหรือไม่” ตามความเห็นของเรา ขาลงครั้งนี้ (และอาจจะลงต่อในสัปดาห์นี้) คือโอกาสทองสำหรับนักลงทุนในตลาดพลังงาน เพราะต่อให้จะมีไวรัสหรือไม่ ระดับอุปสงค์อุปทานตอนนี้ที่ยังไม่มีเสถียรภาพก็ทำให้บริษัทผู้ผลิตน้ำมันไม่กล้าที่จะลงทุนเกี่ยวกับการหาแหล่งพลังงาน หรือหาอุปกรณ์สำหรับการขุดเจาะเพิ่ม
นอกจากนี้ปัจจัยกดดันที่ไม่สามารคควบคุมความเสี่ยงได้เช่นโลกร้อน โรคระบาดยิ่งทำให้บริษัทเหล่านี้ถูกกดดันจากผู้ถือหุ้น ให้หยุดใช้เงินแต่หันมาเก็บเงินเพิ่ม เกิดความเป็นไปได้ที่อาจจะนำเงินเหล่านั้นไปลงทุนในเครื่องมือหรือวิธีใหม่ๆ ที่จะช่วยพาราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะยาว
เจฟ คิวรี่ หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ของโกลด์แมน แซคส์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า
“การลงทุนระยะยาวในตลาดน้ำมันถือเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว คำแนะนำของผมในตอนนี้คือคุณควรถือหุ้นของบริษัทผู้ผลิตน้ำมัน หรือสินทรัพย์ในก็แล้วแต่ที่มีความเกี่ยวข้องกับน้ำมันเอาไว้จนกว่าตลาดจะหาสมดุลของราคาน้ำมันเจออีกครั้ง แน่นอนว่าสำหรับตอนนี้ไม่ใช่ที่ราคา $60 ต่อบาร์เรลอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้เรายังไม่เห็นบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใดกล้ากลับมาลงทุนกับสินทรัพย์ระยะยาวที่มักจะนำมาซึ่งรายได้ของกิจการในอนาคต (CAPEX) เลย”
ธนาคารชื่อดังหลายแห่งต่างพากันคาดการณ์ราคาน้ำมันในอนาคตไปต่างๆ นาๆ โกลด์แมน แซคส์เชื่อว่าจะได้เห็นราคาน้ำมันที่ $85 ต่อบาร์เรลภายในปี 2023 มอร์แกน สแตนลีย์มองเอาไว้ที่ $70 ต่อบาร์เรล และบีเอ็นบี ปาริบาส ประเมินเอาไว้ที่ $80 ในปี 2023
ข้อมูลจากรายงานผลประกอบการของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ยิ่งตอกย้ำความเป็นไปได้ของความเห็นเหล่านี้ ในไตรมาสที่ 3 เชฟรอนมีระดับกระแสเงินสดสูงที่สุดในรอบ 142 ปี พวกเขาบอกกับนักลงทุนว่าจะใช้เงินต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด 20% และจะดำเนินการทยอยซื้อหุ้นคืนมากขึ้น ในขณะเดียวกัน เอ็กซอน โมบิล ก็ได้ปรับเพิ่มการปันผลรายไตรมาสขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อรักษาผู้ถือหุ้นอย่างที่เคยทำเอาไว้ในปี 2020
โดยสรุปแล้ว
ด้วยสถานการณ์ที่ระดับอุปสงค์และอุปทานน้ำมันยังไม่มีจุดสมดุล จึงถือเป็นเรื่องที่ควรทำหากจะถือสินทรัพย์ใดก็ตามที่มีความเกี่ยวข้องกับตลาดพลังงานเช่น หุ้นบริษัทน้ำมัน การเก็บกระแสเงินสดเอาไว้ ความพยายามที่จะรักษาผู้ถือหุ้น และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญเช่นนี้ พฤติกรรมเช่นนี้หากไม่เรียกว่าโอกาสทองก็ไม่รู้ว่าควรเรียกว่าอะไรแล้ว
หุ้นตัวใดที่คุณควรซื้อในการเทรดครั้งถัดไป?
ประสิทธิภาพด้านการประมวลผลของ AI กำลังจะเปลี่ยนแปลงตลาดหุ้น บริการ ProPicks AI ของ Investing.com เป็นพอร์ตหุ้นที่ทำกำไร 6 พอร์ตที่คัดเลือกหุ้นโดยเทคโนโลยี AI ที่ล้ำสมัยของเรา เฉพาะในปี 2024 เพียงปีเดียว เทคโนโลยี AI ของ ProPicks AI ได้ระบุหุ้น 2 ตัวที่ราคาพุ่งขึ้นกว่า 150%, หุ้นเพิ่มเติมอีก 4 ตัวที่ดีดตัวขึ้นกว่า 30% และหุ้นอีก 3 ตัวที่ไต่ระดับขึ้นกว่า 25% แล้วหุ้นตัวใดที่จะทะยานขึ้นต่อไป?
ปลดล็อก ProPicks AI