ในเดือนมกราคมปี 1993 ได้เกิดเหตุการณ์ที่เข้ามาเปลี่ยนวงการการลงทุน นั่นคือการเกิดกองทุน ETF ตัวแรกของโลกการเงินที่มีชื่อว่า SPDR® S&P 500 (NYSE:SPY) กองทุนรวมตัวนี้เน้นติดตามหุ้นที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตมากที่สุดบนดัชนีเอสแอนด์พี 500 เป็นหลัก จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ปัจจุบันเรามีกองทุน ETF รวมแล้วทั้งหมด 2,650 กองทุน คิดเป็นมูลค่า $6,700 ล้านเหรียญสหรัฐ
ข้อมูลจากกองทุน ETF ที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกานามแบล็คร๊อค (NYSE:BLK) เผยว่าจำนวนของกองทุน ETF มีโอกาสจะเพิ่มขึ้นได้มากกว่านี้ในอนาคต คาดว่าในปี 2025 มูลค่าของวงการ ETF จะมีตัวเลขอยู่ที่ $14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ การพัฒนาของเทคโนโลยี การมีสินทรัพย์ใหม่เกิดขึ้น ยิ่งมีโอกาสที่กองทุน ETF ที่มีความเฉพาะเจาะจงจะยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นอีก
ดังนั้น บทความนี้เราจะมาแนะนำกองทุน ETF น้องใหม่ สำหรับนักลงทุนที่เบื่ออุตสาหกรรมแบบเดิมๆ อย่างไรก็ตาม เราต้องขอเตือนเอาไว้ว่าเพราะเป็นกองทุนใหม่ ดังนั้นมูลค่าสินทรัพย์ของพวกเขาจะยังมีขนาดเล็ก และมีประวัติการลงทุนไม่มากนัก
1. First Trust SkyBridge Crypto Industry and Digital Economy ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $26.73
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $18.27 - $27.56
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.85% ต่อปี
จากชื่อกองทุนเชื่อว่านักลงทุนน่าจะเดากันได้ว่าต้องมีความเกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลไม่มากก็น้อย ยิ่งเทคโนโลยีของโลกพัฒนาไปมากเท่าไหร่ สกุลเงินดิจิทัลยิ่งมีแนวโน้มว่าจะมีบทบาทกับโลกมากขึ้น หากนับเฉพาะสกุลเงินดิจิทัลตัวหลักๆ ในปีนี้ต่างพากันปรับตัวขึ้นทั้งหมดทั้งสิ้น ตั้งแต่ต้นปี 2021 จนถึงปัจจุบัน บิทคอยน์ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 131% อีเธอเรียม 551% คาร์ดาโน 1,167% และโซลานา 15,920%
สกุลเงินดิจิทัลในตอนนี้ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงตัวกลางการแลกเปลี่ยนมูลค่าเท่านั้น แต่มีเหรียญมากมายที่เกิดมาต่างวัตถุประสงค์การใช้งาน นักลงทุนเริ่มย้ายเงินไปลงทุนกับบริษัทที่พัฒนาสกุลเงินดิจิทัลมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขุดเหรียญ แพลตฟอร์การแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล และการชำระเงินด้วยสกุลเงินดิจิทัล นั่นจึงเป็นที่มาของกองทุนตัวแรกที่เราอยากจะแนะนำ First Trust SkyBridge Crypto Industry and Digital Economy ETF (NYSE:CRPT) เป็นกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับคริปโตฯ โดยเฉพาะ
CRPT ถือเป็นกองทุนน้องใหม่ที่พึ่งเปิดให้ลงทุนในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ถือหุ้นของบริษัทไว้ทั้งหมด 30 หุ้น เมื่อแบ่งหุ้นออกเป็นสัดส่วนจะพบว่า CRPT ถือหุ้นในกลุ่มซอฟต์แวร์มากที่สุด 32.69% ตามมาด้วยกลุ่มคริปโตฯ สำหรับตลาดทุน (24.69%) กลุ่มผู้ให้บริการด้านไอที (15.91%) กลุ่มธนาคาร (10.72%) และกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ (5.27%)
หุ้น 10 อันดับแรกที่ CRPT ถือครองคิดเป็นสัดส่วน 57% ของมูลค่าหลักทรัพย์ทั้งหมด $39,700 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่อยู่ในกองทุนนี้ได้แก่ Marathon Digital (NASDAQ:MARA) Bitfarms (NASDAQ:BITF) Coinbase Global (NASDAQ:COIN) MicroStrategy Incorporated (NASDAQ:MSTR) และ Galaxy Digital (OTC:BRPHF)
ตั้งแต่กองทุนนี้เปิดตัวมา ก็สามารถปรับตัวขึ้นไปได้แล้วมากกว่า 35% และพึ่งสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลไปไม่นาน นักลงทุนคนไหนที่สนใจลงทุนในกองทุมรวม และไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากคริปโตฯ โดยตรง CRPT คือกองทุนที่ตอบโจทย์ของคุณ
2. ProShares Nanotechnology ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $43.19
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $39.73 - $43.49
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.58% ต่อปี
จากวงการสกุลเงินดิจิทัล เราย้ายไปที่วงการนาโนเทคโนโลยีกันบ้าง นาโนเทคโนโลยี คือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการ การสร้างหรือการวิเคราะห์ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักรหรือผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ในระดับนาโนเมตร รวมถึงการออกแบบหรือการประดิษฐ์เครื่องมือ เพื่อใช้สร้างหรือวิเคราะห์วัสดุในระดับที่เล็กมาก ๆ เช่น การจัดอะตอมและโมเลกุลในตำแหน่งที่ต้องการได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
ผลวิจัยของ Emergen เมื่อไม่นานมานี้เขียนถึงวงการนาโนเทคฯ เอาไว้ว่า
“ในปี 2020 ตลาดนาโนเทคฯ ทั่วโลกเคยมีมูลค่ารวมกันอยู่ที่ $7,580 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเราคาดว่าจะเพิ่มถึง $290,930 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2028 มีอัตราการเติบโตต่อปี (CARG) ของกำไรในช่วงปี 2021-2028 อยู่ที่ 18.3%”
กองทุน ProShares Nanotechnology ETF (NYSE:TINY) เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนกับบริษัทที่ทำเดียวกับวิทยาศาสตร์นาโนเทคฯ ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ยกตัวอย่างเช่นเกษตร วิทยาศาสตร์การอาหาร บริษัทผู้ผลิตพลังงานและพลังงานไฟฟ้า
กองทุนนี้พึ่งเปิดให้เริ่มต้นลงทุนในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อ้างอิงราคาจากดัชนี Solactive Nanotechnology Index ปัจจุบันถือหุ้นของบริษัทอยู่ทั้งหมด 30 ตัว แบ่งออกได้เป็นสามกลุ่มคือไอที (69.05%) เฮลท์แคร์ (26.75%) และวัสดุก่อสร้าง (4.20%) หุ้นสิบอันดับแรกของกองทุนคิดเป็น 54% ของกองทุนทั้งหมด บริษัทที่ TINY เลือกลงทุนเป็นบริษัทที่อยู่ในประเทศสหรัฐฯ เป็นหลัก ตามมาด้วยอิสราเอล (7.05%) ญี่ปุ่น (5.07%) เนเธอร์แลนด์ (4.99%) ไต้หวัน 4.23% สิงคโปร์ 3.55% และประเทศอื่นๆ
หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Moderna (NASDAQ:MRNA) Advanced Micro Devices (NASDAQ:AMD) ASML (NASDAQ:ASML); Agilent Technologies (NYSE:A) และ Bruker (NASDAQ:BRKR)
ผลงานในช่วงสามสัปดาห์ล่าสุด TINY มอบผลตอบแทนคืนแก่ผู้ถือครองแล้วเกือบ 8% ผู้ที่สนใจจะลงทุนในอุตสาหกรรมนาโนเทคฯ ระยะยาว สามารถพิจารณากองทุนกองทุนตัวนี้ไว้เป้นทางเลือกกับอุตสาหกรรมใหม่