การที่เงินบาทกลับมาแข็งค่า และน่าจะมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้อีกเล็กน้อยใน ช่วงเวลาจากนี้ น่าจะส่งผลดีต่อทิศทาง Fund Flow จากนักลงทุนต่างชาติที่ น่าจะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยได้ต่อเนื่อง ขณะที่นักลงทุนสถาบันใประเทศช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีก็มีโอกาสที่จะมีแรงซื้อกลับจากเงินที่ไหลเข้าผ่าน RMF และ SSF ส่วนทิศทางของ SET Index อาจผันผวนไปตามแรงกดดันของหุ้น DELTA แต่หากไม่นับรวมถือว่าภาพรวมของตลาดหุ้นไทยยังดูดีอยู่ ประเด็นที่ ต้องติดตามจากนี้เป็นเรื่องการประชุม ครม. ว่าจะมีมาตรการใหม่ๆ มากระตุ้น เศรษฐกิจหรือไม่ อีกเรื่องหนึ่งเป็นผลของการเปิดประเทศ ใน 2 มุมว่า กิจกรรม เศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นเพียงได้ และจะควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้ดีหรือไม่ แรงหนุนจาก Fund Flow น่าจะช่วยขับเคลื่อน SET Index ประเมินกรอบ ช่วง 1607 – 1617 จุด พอร์ตจำลองได้ Cut Loss หุ้น SMT และให้นำเงินเข้า ลงทุน TVO หุ้น Top Pick เลือก CPALL (BK:CPALL), KBANK (BK:KBANK) และ TVO
ราคา Soft Commodity หลายตัวโดดเด่น…… แนะนำเก็งกำไร TVO
อีก 1 Theme การลงทุนที่ฝ่ายวิจัย ASPS เห็นว่าอาจเกิดกระแสเก็งกำไรได้ในช่วงสั้นๆ คือ ราคา Commodity ซึ่งพบว่ามีบางประเภทดีดตัวกลับขณะที่ราคาหุ้นที่ผ่านมาปรับ ลดลงไปมาก หรือ Underperform มากกว่าที่ควรจะเป็น ได้แก่
1.) กลุ่มถ่านหิน : อิงถ่านหิน Newcastle นับตั้งแต่ต้นปี-ปัจจุบันปรับขึ้นมา 92%ytd แม้ช่วง 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมาปรับฐานแรง แต่ล่าสุดราคาเริ่มยืนได้ และเมื่อคืนปรับขึ้นแรงราว 7.32% ประเมินเป็น Sentiment บวกในการเก็ง กำไรต่อหุ้นถ่านหินในวันนี้ อาทิ BANPU (FV@B14.20), และLANNA. (FV@N/A) แนะนำ Trading เก็งกำไร โดยคาดจะรายงานผลประกอบการงวด 3Q64 ในวันพรุ่งนี้ 10 พ.ย. คาดการณ์กำไรงวด 3Q64 เท่ากับ 3.1 พันล้าน บาท เพิ่มขึ้น 135.6%qoq หลักๆเป็นผลมาจากกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 65.4%qoq มาอยู่ที่ ราว 4.0 พันล้านบาท ตามผลการ ดำเนินงานของธุรกิจหลักถ่านหินที่โดดเด่นมาในงวด 3Q64 ตามราคาขายถ่าน หิน Spot ที่ปรับตัวขึ้นแรงมาอยู่ที่ 180 เหรียญฯต่อตัน ณ สิ้น งวด 3Q64 จาก 131 เหรียญฯต่อตัน ณ สิ้นงวด 2Q64
2.) กลุ่มน้ำมันปาล์ม : ในช่วงก่อนหน้ากลางเดือน ส.ค.64 เป็นต้นมาจะเห็นราคา หุ้นในกลุ่มธุรกิจน้ำมันปาล์มวิ่งแรง อาทิ VPO, CPI ,UVAN , UPOIC, LST (ฝ่ายวิจัยไม่ได้ทำการศึกษา) โดยถูกเก็งกำไรตามราคา “ปาล์มน้ำมัน” ที่สูงขึ้น มาก คือปรับเพิ่มขึ้น +43%ytd ล่าสุดอยู่ที่ 5,415 ริงกิต/ตัน ส่วนราคาน้ำมัน ปาล์มในไทย 45.38 บาทต่อลิตร (เหตุผลหลักๆที่หนุนราคาน้ำมันปาล์มขึ้นมา เนื่องจากที่ผ่านมาสถานการณ์ Covid ทำให้ 1.) Supply ปาล์มน้ำมันใน ประเทศเพื่อนบ้าน กลุ่ม TIPS หายไปและทำให้ผลผลิตหยุดชะงัก ไม่สามารถ ตัดปาล์มและส่งออกปาล์มได้ เช่นเดียวกับไทยมีผลผลิตไม่มาก เพียงแค่พอใช้ หากพิจารณา ประเทศที่ผลิตมากสุด คือ อินโดนีเซีย 56%ของการผลิตทั่วโลก , มาเลเซีย 28% ไทยราว 3%) 2.)การทยอยเปิดเมืองเปิดประเทศทั่วโลก กลับมาหนุน Demand การบริโภคมากขึ้น)
โดยคำแนะนำฝ่ายวิจัย ASPS คือ เพียงเก็งไร VPO, CPI ,UVAN , UPOIC, LST ตาม น้ำมันปาล์มดิบโลกที่ยังปรับขึ้น แต่ระมัดระวังการถูก take Profit เพราะไตรมาส 3 ผล ประกอบการมักจะอ่อนตัว และหากประเมินจากผลตอบแทนและ Valuation ทั้ง 1.)
ราคาหุ้นได้ปรับขึ้นมาแรงตอบรับสะท้อนราคาน้ำมันปาล์มขึ้นมามาก สะท้อนจาก Return นับตั้งแต่ต้นปีของหุ้นแต่ละบริษัทขึ้นมาเยอะมาก
อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัย ASPS พบว่ายังมีราคา Soft Commodity อื่นๆน่าสนใจ และ ราคาหุ้นยัง laggard และยังไม่ปรับขึ้น โดยช่วงที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้นตามหรือมี ความสัมพันธ์แทบจะไปในทิศทางเดียวกันปาล์ม คือ “ราคาน้ำมันถั่วเหลือง” เห็นได้ จากรูป พบว่าราคาทั้งปาล์มน้ำมัน&ราคาน้ำมันถั่วเหลือง มีค่าสหสัมพันธ์ หรือ Correlation สูงถึง 0.6 กล่าวคือราคาน้ำมันปาล์มขึ้น น้ำมันถั่วเหลืองมักจะปรับขึ้น ตาม ส่วนนึงเชื่อว่าเป็นเพราะเป็นสินค้าทดแทนกัน (Substitute good)
โดยรวมฝ่ายวิจัยประเมินบวกต่อหุ้น TVO (FV@35.0) แนะนำซื้อเก็งกำไร เนื่องจาก ราคาหุ้นยัง Laggard คือนับตั้งแต่ต้นปี – ปัจจุบัน ยัง -8.1% เทียบกับราคาน้ำมันถั่ว เหลืองที่ปรับขึ้นมาราว 51% และยังมีปัจจัยหนุนจากทิศทางเงินบาทที่แข็งค่า ดังกล่าว ข้างต้นเป็นปัจจัยหนุน TVO โดยประเมินแนวรับ 30.75 บาท แนวต้านอยู่ที่ 33 บาท และถัดไป 35 บาท
อัพเดทสถานการณ์หลังเปิดประเทศ 1 สัปดาห์: นักท่องเที่ยว VS. ผู้ติดเชื้อ
การระบาดของ COVID-19 ในไทยมีแนวโน้มทรงตัว โดยจากข้อมูลวันที่ 8 พ.ย. 2564 พบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7,592 ราย ซึ่งยังทรงตัวในระดับต่ำใกล้เคียงกับจุดต่ำสุดใน รอบ 2 เดือน และมีแนวโน้มทยอยปรับลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามการฉีดวัคซีนที่ เดินหน้าต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน ไทยมีผู้ฉีดวัคซีนเข็มแรกจำนวน 44 ล้านราย (61.1% ของประชากร) และจำนวนผู้ฉีดเข็มสอง 33.9 ล้านราย (47.1% ของประชากร)
ทั้งนี้ อีกความเสี่ยงหนึ่งคือ การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2564 ที่ ผ่านมา ซึ่งแม้จะช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในไทยกลับมาได้ โดยเฉพาะการ ท่องเที่ยว แต่ก็อาจส่งผลให้ COVID-19 กลับมาได้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ASPS มองว่าความเสี่ยงจากประเด็นดังกล่าวน่าจะมีจำกัด เพราะหาก พิจารณาข้อมูลจำนวนผู้เดินทางเข้าประเทศตั้งแต่วันที่ 1-7 พ.ย. 2564 จะพบว่า มีผู้ เดินทางเข้าประเทศผ่านสนามบินหลัก 4 แห่ง (สุวรรณภูมิ, เชียงใหม่, ภูเก็ต, สมุย) สะสมรวม 22,832 ราย และในจำนวนนี้ตรวจพบผู้ติดเชื้อเพียง 20 ราย หรือคิดเป็น อัตราการติดเชื้อ 0.09%
โดยสรุป จำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง และอัตรา การตรวจพบผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศที่อยู่ระดับต่ำมาก เชื่อว่าจะช่วยให้ความเสี่ยงที่ ไทยจะเผชิญการระบาดของ COVID-19 อย่างรุนแรง คล้ายช่วงกลางปี 2564 จะมี น้อยลง ซึ่งจะส่งผลให้ Downside ของเศรษฐกิจไทยจำกัดมากขึ้น รวมถึงหุ้นในกลุ่มธีม Restart Economy หรือหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการ ท่องเที่ยวจะยังมีความน่าสนใจลงทุนอยู่ เช่น CPALL, CPN, CRC, HMPRO, KBANK, TIDLOR, MINT, ERW, CENTEL, AOT (BK:AOT) เป็นต้น และในวันนี้ ASPS ให้ CPALL และ KBANK เป็นส่วนหนึ่งของหุ้น Top pick ของ ASPS
ช่วงที่ผ่านมา SET Index ยังปรับขึ้นได้ดี แค่ถูกภาพลวงตาจากหุ้น DELTA
วานนี้ SET Index ทรงตัวลบเล็กน้อย หลักๆ ถูกกดดันจากหุ้น DELTA ที่ปรับตัวลง แรง 13% จะสังเกตได้ว่าการแกว่งตัวขึ้นลงแรงของหุ้น DELTA ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ SET Index ไม่ได้สะท้อนการเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวที่แท้จริง สังเกตได้จากในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (3 ก.ย. – 9 ก.ย. 64) แม้ต่างชาติจะซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่ SET Index กลับย่อตัวลงมาถึง 24 จุด จาก 1650 จุด เหลือ 1626 จุด ดังนั้นฝ่ายวิจัย ASPS จึงได้คำนวณหา SET Index ในแบบที่ไม่มีDELTA พบว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา จริงๆ แล้ว SET Index Non DELTA ขยับขึ้นมา 13 จุด จาก 1631 จุด ขึ้นมาอยู่ที่ 1644 จุด แสดงให้เห็นว่า “SET Index ที่นักลงทุนเห็นถือเป็นภาพ ลวงตาว่าปรับลง แต่จริงๆ แล้วยังขยับขึ้นได้ดี”
Flow ยังหนุนตลาดฯ เน้นหุ้นเปิดเมืองชอบ CPALL KBANK TVO
ความมั่นใจในการเปิดประเทศ เริ่มมีมากขึ้นจากตัวเขผู้ติดเชื้อทรงตัวระดับต่ำ ล่าสุด เหลือเพียง 6.9 พันราย/วัน ประกอบกับมีประเด็นยารักษาจาก Pfizer ที่มี ประสิทธิภาพดีเช้ามาหนุน ทำให้ Fund Flow ต่างชาติยังคงไหลเข้าหุ้นไทยในวานนี้ อีก 2.7 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิต่อเนื่องมาถึง 4 เดือนติดต่อกัน) ส่งผลให้ค่าเงินบาท กลับมาแข็งค่าจนหลุดแนวรับสำคัญที่ระดับ 33 บาท/เหรียญฯ
อีกทั้งหากพิจารณาเป็นรายบริษัทจะพบว่า วานนี้หุ้นที่ต่างชาติซื้อสุทธิทางตรง (ไม่รวม NVDR) ส่วนใหญ่ยังคงเป็นหุ้นกลุ่มเปิดเมืองเป็นหลัก สะท้อนได้จากหุ้น 16 บริษัทที่ ต่างชาติซื้อสุทธิมากสุด ดังตารางทางด้านล่าง อีกทั้งส่วนใหญ่ยังให้ผลตอบแทนที่ดี และชนะตลาด นอกจากนี้ยังประกอบด้วยหุ้นในพอร์ตจำลองที่ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำ อาทิ HMPRO CPALL KBANK AOT เป็นต้น
สรุปการเดินหน้าเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยในครั้งนี้ ดึงดูดเม็ดเงินต่างขาติ เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นได้ดีกว่าช่วงที่ผ่านๆมา กลยุทธ์ยังคงเน้นหุ้นกลุ่มเปิดเมืองขนาดใหญ่ที่ต่างชาติซื้อสะสมต่อเนื่อง อย่าง CPALL KBANK และหุ้น Commodity ที่ราคายัง Laggard ทั้งหุ้นอื่นๆในกลุ่ม อย่าง TVO เป็น Top pick ในวันนี้
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities