นับวันตลาดคริปโตฯ กลายเป็นสิ่งที่มีความน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ในแง่ของมูลค่าหรือการทำกำไรเท่านั้น แต่ทั้งฝ่ายเชียร์และฝ่ายค้านต่างก็อยากเห็นว่าจุดสิ้นสุดของตลาดแห่งนี้จะไปจบลงตรงไหน สกุลเงินดิจิทัลจะกลายเป็นตัวกลางการแลกเปลี่ยนใหม่ของโลกใบนี้ หรือจะเป็นปรากฎการณ์ดอกทิวลิปที่ใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
ในขณะที่บุคคลธรรมดา และบริษัทเอกชนที่มีความเข้าใจถึงแก่นแท้ของการมีอยู่ของตัวกลางการแลกเปลี่ยนเริ่มยอมรับสกุลเงินดิจิทัลมากขึ้น รัฐบาลหรือผู้ที่มีสวนเกี่ยวข้องกับการวางระบบชำระเงินก็ยิ่งเห็นสกุลเงินดิจิทัลเป็นภัยต่อพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ แจ็ค ดอร์ซีย์ CEO ของสแควร์ (NYSE:SQ) และทวิตเตอร์ (NYSE:TWTR) อีลอน มัสก์ เจ้าของเทสลา (NASDAQ:TSLA) และมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก เจ้าของเฟสบุ๊ก (NASDAQ:FB) ต่างก็มองเห็นโอกาสและเริ่มหาทางกระโจนเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มตัวแล้ว แต่ผู้อาวุโสที่ตามโลกไม่ทันบางคนอย่างเจมี่ ไดมอน เจ้าของเจพี มอร์แกน (NYSE:JPM) วอร์เรน บัฟเฟตต์ และชาร์ลี มังเกอร์ เจ้าของเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ (NYSE:BRKa) ก็ยังคงมองว่าสกุลเงินดิจิทัลเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากขยะ
ในชั่วโมงนี้ตลาดสกุลเงินกำลังกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง เมื่อราชาสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิทคอยน์กำลังกลับมาอยู่บนเส้นทางที่ลุ้นจะขึ้นไปแตะ $70,000 อีกครั้ง แต่เหรียญอีกตัวหนึ่งที่ถึงแม้จะอยู่อันดับสองรองจากบิทคอยน์ ก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สกุลเงินตัวนี้พึ่งจะทำสถิติสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อย ใช่แล้ว...ผมกำลังพูดถึงเหรียญดิจิทัลอีเธอเรียม
ที่มา: Barchart
มาเริ่มที่ภาพรวมของสกุลเงินดิจิทัลอีเธอเรียมกันก่อน กราฟรูปนี้แสดงให้เห็นถึงวันที่อีเธอเรียมขยับขึ้นจาก $738.91 ในวันที่ 31 ธันวาคมปี 2020 ขึ้นไปยังจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ที่ $4,500 ในวันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน หรือเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จากปีที่แล้วสู่ปีนี้ อีเธอเรียมให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือครองไปแล้วมากกว่าหกเท่า
แม้แต่ในตอนนี้ ในขณะที่กำลังเขียนบทความอยู่ อีเธอเรียมก็ยังขยันทำจุดสูงสุดใหม่ ล่าสุดมีราคาซื้อขายอยู่ที่ $4,715 ช่วงเวลาเดียวกันนี้เองที่บิทคอยน์วิ่งขึ้นจากจุดต่ำสุด $28,986 ขึ้นไปยัง $61,290 คิดเป็นการปรับตัวขึ้นมาทั้งสิ้น 111.4%
หากพูดถึงในแง่ของการยอมรับจากฝั่งภาครัฐ ต้องบอกว่านอกจากบิทคอยน์แล้ว ตอนนี้อีเธอเรียมเป็นสกุลเงินเดียวที่ กลต. สหรัฐฯ อนุญาตให้ CME สามารถทำอีเธอเรียมฟิวเจอร์สได้ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2021 อีเธอเรียมถือเป็นสกุลเงินดิจิทัลเพียงตัวเดียวที่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานของรัฐบาลโดยที่ผู้สร้างยังปรากฎให้สาธารณชนได้เห็นอยู่
ที่มา: CQG
กราฟรูปนี้คืออีเธอเรียมฟิวเจอร์สที่ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุด ณ $4,406.50 ในสัปดาห์ของวันที่ 10 พฤษภาคม ก่อนที่เหรียญจะปรับตัวลดลงไปมากกว่าถึง ลงไปทำจุดต่ำสุดที่ $1,697.75 ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ใครจะไปคิดว่าขาลงในตอนนั้นจะเป็นโอกาสดีในการเข้าซื้อ เพราะหลังจากนั้นกราฟอีเธอเรียมฟิวเจอร์สก็สามารถปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุด ณ $4,783 ก่อนที่จะย่อตัวลงมาอยู่ที่ $4,500 โดยประมาณ
สำหรับผู้ที่ไม่เคยศึกษาตลาดสกุลเงินดิจิทัลมาก่อน ผมจะขอสรุปประวัติศาสตร์การถือกำเนิดของสกุลเงินดิจิทัลอีเธอเรียมแบบสังเขปให้ฟัง หลังจากที่บุคคลนิรนามที่มีชื่อว่าซาโตชิ นากาโมโต้ ได้ในกำเนิดบิทคอยน์มาแล้วบนระบบบล็อกเชน ในตอนนั้นบิทคอยน์ถือเป็นสกุลเงินยุค 1.0 ที่ทำหน้าที่ได้เพียงฟังก์ชันเดียวคือการเป็นตัวกลางการแลกเปลี่ยนมูลค่า
ในขณะนั้น ผู้สร้างของอีเธอเรียม คุณวิเทอลิค บูเธอริน ได้มีความสนใจในเทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นอย่างมาก เพียงแต่ว่าเขามองสกลุงเงินดิจิทัลไปไกลมากกว่าการเป็นเพียงตัวกลางการแลกเปลี่ยน ในเมื่อโลกมีบิทคอยน์อยู่แล้วจะสร้างคู่แข่งขึ้นมาทำไม ดังนั้นเขาจึงได้สร้างเหรียญอีเธอเรียมขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นตัวกลางการแลกเปลี่ยนสำหรับคนที่อยู่ในชุมชนแพลตฟอร์มของอีเธอเรียม ที่เปิดให้ใครก็ได้เข้ามาพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลในรูปแบบที่ต่างไปจากเดิม และเพราะมีอีเธอเรียม เราถึงได้เห็น โลก DeFi การเล่นเกมโดยใช้สกุลเงินดิจิทัลเป็นตัวการการแลกเปลี่ยนที่แลกมาเป็นเงินได้จริงๆ
การถือกำเนิดขึ้นของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่สามารถใช้งานได้จริงอย่างเทสลา ทำให้กระแสโลกเปลี่ยนเทรนด์ไปเป็นทำอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด แล้วคุณจะดูดี คริปโตเคอเรนซี่เองก็เช่นกัน ในแง่ของการปั่นกระแส คงไม่มีใครเด่นเท่ากับอีลอน มัสก์ ชายผู้ที่นอกจากจะสร้างรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเก่งแล้ว ยังเก่งให้ในเรื่องของการทำตัวเองให้เป็นกระแสอีกด้วย เขามีบทบาทอย่างมากในการทำให้สกุลเงินดิจิทัลพุ่งขึ้นหรือวิ่งลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเอาเรื่องของวิธีการได้มาซึ่งเหรียญดิจิทัล มาโยงเข้ากับพลังงานสะอาด
หากยังจำกันได้ ในช่วงต้นปีเขาเคยทำราคาบิทคอยน์ร่วงลงมาแล้ว ด้วยการปฎิเสธไม่ให้ซื้อรถของเขาด้วยบิทคอยน์อีกต่อไป เพียงเพราะเหตุผลว่าบิทคอยน์ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นตัวขุด และนั่นก่อให้เกิดปัญหามลภาวะ ด้วยประเด็นนี้ทำให้บิทคอยน์ร่วงลงมาจากจุดสูงสุด $60,000 ในตอนนั้นมาแล้ว ในแง่ของพลังงานสะอาด และการรักษ์โลก ต้องยอมรับว่าอีเธอเรียมเป็นเหรียญที่ใช้พลังงานสะอาด ในการได้มาซึ่งเหรียญง่ายกว่าบิทคอยน์ นายวิเทอลิคสัญญาว่าจะยกเครื่องวิธีการได้เหรียญอีเธอเรียมใหม่ให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งการันตีว่าจะช่วยลดการใช้พลังงานลงมากถึง 99%
นอกจากอีเธอเรียมแล้ว สกุลเงินดิจิทัลส่วนใหญ่ก็เริ่มทำให้วิธีได้เหรียญมานั้นเป้นมิตรกับธรรมชาติมากที่สุด เหรียญชื่อดังที่ถือได้ว่าเป็นผู้นำในเรื่องของพลังงานสะอาดนอกจากอีเธอเรียมได้แก่ Algorand (ALGO), BitGreen (BITG) และ Cardano (ADA) หรือเทรนด์นี้คือแนวทางที่ถูกต้อง และเป็นสาเหตุหนึ่งว่าทำไมปีนี้อีเธอเรียมจึงสามารถเติบโตได้มากถึงหกเท่าจากเดิม ในขณะที่บิทคอยน์ทำได้เพียง 111% เท่านั้นตั้งแต่สิ้นปี 2020
ถึงแม้ว่าตลาดสกุลเงินดิจิทัลดูจะมีอนาคตมากมายขนาดไหนก็ตาม และถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีจำนวนสกุลเงินดิจิทัลรวมแล้วทั้งหมด 13,606 เหรียญแล้ว เราก็ยังคงต้องเน้นย้ำอยู่ตลอดว่านี่คือสินทรัพย์เสี่ยง โลกแห่งสกุลเงินดิจิทัลนั้นเปรียบได้กับดินแดนคาวบอย ที่หากคุณไม่มีความรู้จริง เพียงแต่ต้องการความมั่งคั่ง ก็อาจถูกยิงตายได้โดยไม่รู้ตัว และไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครเรียกร้องความเป็นธรรมให้ ผู้คนที่นี่จำเป็นต้องรู้จักที่จะปกป้องตัวเอง
ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งคือในบรรดาเหรียญดิจิทัลจำนวน 13,606 เหรียญนี้ มีสกุลเงินดิจิทัลที่น่าเชื่อถือรวมกันแล้วไม่เกิน 50 เหรียญเท่านั้น สกุลเงินดิจิทัลอย่างบิทคอยน์และอีเธอเรียมก็เป็นผู้แบกมาร์เก็ตแคปทั้งหมดของตลาดนี้ไว้เกิน 60% เรย์ ดาลิโอ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังเคยวิเคราะห์เอาไว้ว่าจริงๆ แล้วถ้ารัฐบาลจะจัดการโลกแห่งนี้ได้ พวกเขาสามารถทำได้อย่างง่ายดาย การเติบโตของตลาดแห่งนี้เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง ของกลุ่มคนเพียงไม่กี่กลุ่ม ดังนั้น ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเสี่ยงเอาเงินทั้งชีวิตไปลงทุนกับตลาดสกุลเงินดิจิทัล จงลงทุนแต่จำนวนเงินที่คุณจะสามารถยอมรับความเสี่ยงได้