ถึงแม้ทุกคนจะทราบดีว่าการสร้างพอร์ตเกษียณอายุนั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่การที่จะตามหุ้นที่เหมาะสมกับพอร์ตนี้จริงๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เราอาจจะเจอหุ้นที่ถูกใจแต่คุณสมบัติกลับไม่ได้ตามที่ต้องการ หรืออาจจะไม่เจอหุ้นที่ต้องการ แต่กลับมีคุณสมบัติที่ไม่ถูกใจ ดังนั้นนักลงทุนบางส่วนจึงหาทางออกที่ง่ายกว่าด้วยการเลือกหุ้นที่อ้างอิงกับดัชนี Dividend Aristocrats Index ที่มีการปรับเพิ่มการปันผลมาแล้วอย่างน้อย 25 ปีติดต่อกัน
ตามการวิจัยของดัชนี S&P Dow Jones เงินปันผลที่น่าดึงดูดใจมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับดัชนีเอสแอนด์พี 500 ประมาณ 32% โดยเฉลี่ยมาตั้งแต่ปี 1926 หมายความว่าในทุกๆ ปีมีคนตามหาหุ้นที่มีคุณสมบัติปันผลต่อเนื่อง เติบโตได้ดี บริษัทผู้จ่ายเงินปันผลมีเสถียรภาพอยู่ตลอดเวลา และคุณสมบัติที่ทุกคนอยากได้มากที่สุดคือการปันผลแม้ว่าเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยก็ตาม
ในบทความนี้เราได้คัดหุ้นสามตัวออกมาจากดัชนี Dividend Aristocrats Index ที่เรามองว่ามีคุณสมบัติครบทุกข้อตามที่ได้กล่าวถึงไป
1. Johnson & Johnson
การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ผู้คนหันมาสนใจสุขภาพกันมากขึ้น และทำให้ในช่วงสองปีล่าสุด บริษัทเฮลท์แคร์มีกระแสตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก ดังนั้นหุ้นตัวแรกที่เราอยากจะแนะนำคือยักษ์ใหญ่แห่งวงการเภสัชกรรมจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (NYSE:JNJ) หรือที่ในวงการนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า “เจแอนด์เจ”
ตลอดระยะเวลา 58 ปีล่าสุด เจแอนด์เจได้มีการปรับเพิ่มเงินปันผลขึ้นในทุกๆ ไตรมาส คิดเป็นสถิติเพิ่มเงินปันผลต่อเนื่องห้าทศวรรษติดต่อกัน ข้อมูลล่าสุดระบุว่าเจแอนด์เจมีตัวเลขการปันผลรายไตรมาสอยู่ที่ $1.06 และมีเปอร์เซ็นต์การปันผลต่อปีอยู่ที่ 2.64% แม้ว่าจะมีบริษัทที่สามารถปันผลได้สูงกว่าเจแอนด์เจ แต่ในแง่ของความต่อเนื่อง นี่ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่สามารถรักษาเสถียรภาพแห่งการปันผลเอาไว้ได้นานที่สุด จนได้ชื่อว่าเป็น “ราชาแห่งการปันผล” และเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมเราจึงเลือกหุ้นตัวนี้ให้เป็นอันดับแรกที่ควรซื้อและถือเอาไว้ยาวๆ
ในการต่อสู้กับวิกฤตโรคระบาด ณ ปัจจุบัน เจแอนด์เจก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของสงครามครั้งนี้ด้วย พวกเขาได้ผลิตวัคซีนต้านโควิดที่ได้รับฉายาว่า “ฉีดครั้งเดียวจบ” ซึ่งประสิทธิภาพของวัคซีนตัวนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าวัคซีนของบริษัทยี่ห้ออื่นเลย วัคซีนตัวนี้มีส่วนช่วยเพิ่มยอดขายของบริษัทให้สามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มขึ้น 63% เป็น $7,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 2 สูงกว่ายอดขายก่อนเกิดโรคระบาดที่ $6,500 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่สองของปี 2019
โจเซฟ โว๊ค CFO ของเจแอนด์เจให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กในเดือนกรกฎาคมว่า “การระบาดทำให้ผู้คนหันมาให้ความสนใจกับสุขภาพมากขึ้น และทำให้บริษัทมียอดขายที่แข็งแกร่งในทุกวันนี้”
2. PepsiCo
บริษัทเจ้าของแบรนด์เครื่องดื่มน้ำอัดลมชื่อดัง “เป๊ปซี่” (NASDAQ:PEP) คือบริษัทที่สองที่เราอยากจะนำเสนอ ถึงแม้ว่าการระบาดจะทำให้ยอดขายน้ำอัดลมของบริษัทลดลง แต่เพราะบริษัเป๊ปซี่อยู่ในตลาดมานาน จึงทำให้เราวางใจได้ว่าปัญหาที่บริษัทกำลังเผชิญเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น
อันที่จริง การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้ธุรกิจที่เป๊ปซี่กระจายความเสี่ยงออกไปอย่างเช่นแบรนด์ขนมอย่าง Tostitos, Fritos, Ruffles และ Cheetos ทำกำไรได้มากขึ้น เนื่องจากการกักตุนสินค้าในช่วงล็อกดาวน์ ตลอดระยะเวลา 6 เดือนล่าสุด
ในการรายงานผลประกอบการเมื่อวานนี้ บริษัทเป๊ปซี่ได้ปรับเพิ่มตัวเลขยอดขายขึ้นจากความต้องการผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่ส่งสัญญาณว่ากลับมาแล้ว กำไรตลอดทั้งปี 2021 จะเพิ่มขึ้น 8% จากตัวเลขก่อนหน้านี้ 6% ที่สำคัญบริษัทยังได้ปรับตัวเลขคาดการณ์ EPS ขึ้นเป็น $6.20 เป็นอย่างต่ำ
เมื่อพิจารณาในด้านของการปันผล เป๊ปซี่ถือเป็นบริษัทที่ไว้ใจได้ เป๊ปซี่มีการปรับเพิ่มอัตราการปันผลขึ้นตลอด 49 ปีติดต่อกัน แสดงให้เห็นถึงการมีเสถียรภาพ และเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ หากต้องการมีรายได้ไปพร้อมๆ กันกับการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ตอนนี้บริษัทเป๊ปซี่มีการจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสอยู่ที่ $1.075 คิดเป็น 2.9% ต่อปี
3. Target
บริษัทสุดท้ายที่เราอยากจะแนะนำสำหรับพอร์ตเกษียณอายุคือหนึ่งในบริษัทค้าปลีกสิบอันดับแรกของสหรัฐอเมริกา “ทาร์เก็ต” (NYSE:TGT) บริษัทนี้เป็นตัวเลือกที่ทำให้คุณไม่ต้องตั้งคำถามว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดในช่วงที่เศรษฐกิจย่ำแย่ได้หรือไม่
ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้เพิ่มเงินปันผลอย่างต่อเนื่องทุกปี แน่นอนว่าในช่วง 50 ปีนี้ ทาร์เก็ตต้องผ่านช่วงวิกฤตต่างๆ เช่น การล่มสลายของฟองสบู่ดอทคอมในช่วงต้นทศวรรษ 2000 วิกฤตการเงินในปี 2008-2009 และล่าสุด การระบาดของเชื่อไวรัสโควิด-19 แม้ทาร์เก็ตคงรักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลเอาไว้ที่ประมาณ 22% โดยประมาณ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม แต่พวกเขาก็ยังสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ทุกไตรมาส
ไบรอัน คอร์นเนล CEO ของบริษัทสามารถทำให้เอาท์เล็ตของทาร์เก็ตมีความน่าสนใจมากขึ้น เขาได้ปรับโครงสร้างภายในแต่ละร้านให้มีความเป็นแฟชัน และน่าดึงดูดไปในเวลาเดียวกัน ถึงแม้ว่าการระบาดของโควิดจะทำให้ผู้คนลดการเดินทางไปยังทาร์เก็ต แต่พวกเขาก็ได้ปลี่ยนกลยุทธ์มาเป็นการทำธุรกิจแบบดาวกระจาย เปลี่ยนตัวร้านให้เป็นศูนย์กระจายสินค้า และส่งตรงผ่านออนไลน์ไปถึงผู้บริโภคมากขึ้น
ในเดือนมิถุนายน การปันผลรายไตรมาสของทาร์เก็ตเพิ่มขึ้นเป็น $0.9 ในขณะที่ตัวเลขการปันผลรายปี คิดเป็น 1.58% จากการประกาศเพิ่มเงินปันผลขึ้น 32%