ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนในตลาดใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับร่วมกันคือการอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมอัตราดอกเบี้ยต่ำไปอีกอย่างน้อยหนึ่งปีครึ่ง ถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อไม่นานมานี้แม้จะยอมรับว่าเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นเร็วกว่าคาด แต่พวกเขาก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนนโยบายการเงินหรือขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในเร็ววัน ประกอบกับการกลับมาของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่รอบนี้มาใหม่ในชื่อของโควิดสายพันธุ์เดลตาด้วยแล้วยิ่งทำให้เกิดความผันผวนไปทั่วทุกตลาดลงทุน
สิ่งที่ตามมาก็คือนักลงทุนหลายคนกำลังถามหาสินทรัพย์อื่นเพื่อการลงทุน จะเป็นตลาดใดก็ได้ขอให้ได้ผลตอบแทนสูงก็พอ แต่ในโลกของความเป็นจริงนั้นยิ่งอยากได้ผลตอบแทนสูง ก็ต้องรับความเสี่ยงมากขึ้นเป็นธรรมดา เพื่อลดความเสี่ยงนั้น พร้อมกับยังเป็นช่องทางการทำกำไรที่ดีในอนาคต เราจึงมีกองทุน ETF สองตัวที่น่าสนใจมานำเสนอในบทความนี้
1. Invesco KBW Premium Yield Equity REIT ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $23.82
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $16.00 - $24.30
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 7.62%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.35% ต่อปี
กองทุน ETF นามว่า Invesco KBW Premium Yield Equity REIT (NASDAQ:KBWY) เป็นกองทุนที่ลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ทั้งขนาดเล็กและขนาดกลาง กองทุนนี้เริ่มต้นเทรดในเดือนธันวาคมปี 2010
ปัจจุบัน KBWY ถือครองหุ้นรวมแล้วทั้งสิ้น 31 ตัว อ้างอิงราคามาจากดัชนี KBW NASDAQ Premium Yield Equity REIT หากพิจารณาเป็นสัดส่วนของกลุ่มหุ้นที่ถือครองแล้ว จะพบว่าแบ่งออกเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์สำหรับเฮลท์แคร์ 21.7% ตามมาด้วยกลุ่ม REIT ของสำนักงาน 17.6% กลุ่ม REIT สำหรับกระจายความเสี่ยง 1.464% และ REIT สำหรับกลุ่มอุตสากรรม 13.67%
หุ้นสิบอันดับแรกที่กองทุนถือครองคิดเป็นสัดส่วน 40% ของสินทรัพย์ทั้งหมดซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ $354.3 ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทชื่อดังที่ KBWY ถือครองได้แก่ American Finance Trust (NASDAQ:AFIN), Global Net Lease (NYSE:GNL), Office Properties Income Trust (NASDAQ:OPI), Preferred Apartment Communities (NYSE:APTS) และ Bluerock Residential Growth REIT (NYSE:BRG)
ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นของกองทุน KBWY ปรับตัวขึ้นมาแล้วมากกว่า 11% แม้ว่าปีที่แล้วกองทุนตัวนี้จะได้รับผลกระทบจากโรคระบาด จนทำให้ไม่มีใครต้องการถือครองสินทรัพย์ที่อยู่อาศัย แต่เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลง ก็ดูเหมือนว่าบรรยากาศการลงทุนใน REIT ก็สามารถกลับมาเป็นบวกได้อีกครั้ง มอบผลตอบแทนให้กับผู้ที่ยังถือครองได้
สำหรับนักลงทุนระยะสั้น พวกเขาอาจจะเลือกปิดคำสั่งซื้อขายเพื่อทำกำไรในช่วงฤดูรายงานผลประกอบการ แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาวนั้น REIT ถือเป็นสินทรัพย์สำคัญเพื่อคานความเสี่ยง จนต้องแบ่งพอร์ตส่วนหนึ่งไว้ให้กับหุ้นกลุ่มนี้ หากคิดจะลงทุนใน KBWY ให้รอราคาวิ่งลงมาที่ $22 หรือต่ำกว่านั้น
2. Amplify High Income ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $17.19
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $14.26 - $17.82
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 9.12%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 2.45% ต่อปี
กองทุน ETF นาม Amplify High Income (NYSE:YYY) เป็นกองทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมประเภทไม่รับซื้อคืนหน่วยลงทุน (กองทุนปิด) กองทุนนี้เริ่มต้นเทรดในเดือนมิถุนายนปี 2013 มีมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดอยู่ที่ $489.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เหตุผลที่อัตราค่ายใช้จ่ายต่อการดำเนินงานของกองทุนนี้แพง เพราะเป็นกองทุนที่ไปลงทุนในกองทุนอีกทีหนึ่ง
YYY อ้างอิงราคามาจากดัชนี ISE High Income Index ถือครองหุ้นอยู่ทั้งสิ้น 45 ตัว มีกองทุนที่สามารถทำรายได้แบบตายตัวคิดเป็นสัดส่วน 70% และสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงเหมาะสำหรับการโยกย้าย 30% แต่หากแบ่งออกเป็นสัดส่วนแล้ว จะพบว่า YYY ราคาของกองทุนที่เน้นให้ผลตอบแทนสูงอยู่ 21.6% ตามมาด้วยกองทุนที่เน้นสินเชื่อ 20.39% กองทุนที่เน้น multi-sector bond 8.63%
หุ้นสิบอันดับแรกที่กองทุนถือครองคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 30% ซึ่งถือเป็นแนวหน้าของวงการ CEF ทั้งนั้นได้แก่ PIMCO Corporate & Income Opportunity (NYSE:PTY), Oxford Lane Capital Corp (NASDAQ:OXLC), Liberty All Star Equity Closed Fund (NYSE:USA), PIMCO Dynamic Income Fund (NYSE:PDI) และ PIMCO Dynamic Credit Income Fund (NYSE:PCI)
ในปีที่แล้วราคา YYY สามารถปรับตัวขึ้นมาประมาณ 16.4% สร้างจุดสูงสุดในรอบหลายปีไปได้ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนอีกทีสามารถพิจารณา YYY เป็นทางเลือกได้ อย่างไรก็ตาม ต้องทำใจยอมรับค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงานที่แพงกว่ากองทุนอื่นและการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงย่อมหมายถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน