Sub-1600 expected SET: คาด SET Index เปิดตลาดปรับตัวลงสอดคล้องกับตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ จากความกังวลการส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ถึง 2 ครั้งในปี 2023 ที่ดําเนินมาตั้งแต่ปลายสัปดาห์ก่อน จนทําให้ราคาสินทรัพย์ปรับตัวผันผวน และทํา ให้ VIX Index ปรับตัวสูงขึ้นมาตามที่เราประเมินไว้ (รูปที่ 1) ปัจจัยดังกล่าว ยังท่าให้เงิน USD แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกดดันต่อราคาโภคภัณฑ์ที่ไม่ใช่ น้ํามัน (รูปที่ 2) และทําให้ Fund flow มีแนวโน้มไหลออกสุทธิจากตลาดเกิดใหม่ ในช่วงนี้ โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยถึง 2 พันล้าน บาท ทั้งๆที่มีการปรับตะกร้าดัชนี FTSE ซึ่งประเทศไทยได้รับการเพิ่มน่าหนักใน รอบนี้ Breakeven crushed: ส่วนการปรับตัวของ Bond yield ในช่วงนี้ จะสังเกตได้ ว่ามีความชั่นที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากความคาดหวังเงินเฟ้อที่ลดลงในตลาด สอดคล้องกับมุมมองของเราเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนที่ว่า กระแส Reflation trade นั้นน่าจะผ่านจุดสูงสุดของรอบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตามหลังค่า Breakeven ในตลาดที่น่าจะผ่านจุดสูงสุดของรอบนี้ไปแล้วเช่นกัน (รูปที่ 3) Strategy: ในเชิงกลยุทธ์ เรายังคงมองกรอบการแกว่งตัวของ SET ในเดือนปีที่ 1550-1650 จุด ดังนั้นตราบใดที่ SET ยังไม่หลุดต่ากว่าระดับ 1600 จุด ยังไม่แนะนําให้เข้าเพิ่มน้ําหนักใหม่ในช่วงนี้ ส่วนกลุ่มหุ้นที่น่าจะปรับตัว แข็งแกร่งกว่าตลาดได้ในช่วงนี้ มองไปยัง
1) หุ้นกลุ่ม Commodity buyer ที่ได้ประโยชน์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Non-oil) ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ได้แก่ KCE, HANA, SMT, CPF, GFPT,TFG
2) หันกลุ่ม Defensive ที่มีค่า Beta ต่ําและมีระดับ Dividend yield gap ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากการปรับลดของ Bond yield ระยะยาว ได้แก่ EGCO, RATCH,
ADVANC Factors: สาหรับปัจจัยที่น่าติดตามประจําสัปดาห์นี้ ได้แก่
1) การประชุมกนง.ของไทยในวันที่ 23 มิ.ย. ซึ่งคาดว่าจะมีการ Downgrade ประมาณการ GDP ปีนี้ลงเหลือขยายตัวราว 2%% แต่มิใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด
2) การรายงานตัวเลขส่งออก-น่าเข้าของไทยประจําเดือนพ.ค.ในวันที่ 23 มิ.ย.ซึ่งล่าสุดตลาดคาดการณ์ขยายตัว 34% และ 53% ตามล่าดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานต่ำในปีก่อน 3) รายงานตัวเลข Core PCE ของสหรัฐฯประจําเดือนพ.ค.ในวันที่ 25 มิ.ย.
ซึ่งล่าสุดตลาดคาดการณ์ขยายตัว 0.6%% MoM Curve flattening: สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาด ณ ขณะนี้ถือเป็นกรณี เลวร้ายสุดที่จะเกิดขึ้นได้กับตลาดหุ้น (รูปที่ 4) กล่าวคือ Bond yield ระยะสั้นมี การขยับขึ้นสะท้อนความคาดหวังของนักลงทุนต่อการปรับขึ้นของดอกเบี้ย Fed Funds rate ที่เร็วกว่าคาดการณ์เดิมก่อนหน้านี้ โดยจากการตรวจสอบของเรา ล่าสุดพบว่า เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา Fed Funds forward curve ยังคงมีการขยับ ขึ้นต่ออีกเล็กน้อย ในทางกลับกัน Bond vield ระยะยาว ณ ขณะนี้ได้มีการปรับตัว ลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความคาดหวังเงินเฟ้อในอนาคตที่ลดลง จากแนวนโยบายการเงินของ Fed ที่จะเริ่มเข้มงวดในช่วงสัดไป ส่งผลให้ล่าสุด ความขัน Yield urve สหรัฐฯ ไม่ว่าจะดูในรุ่น 10y-2y หรือ 30y-5y นั้นต่างทาจุด ต่ําสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง
• Beware of value stock: มองปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลกดดันต่อราคาหุ้นในกลุ่ม Value ได้ในช่วงสัน ซึ่งมักเป็นกลุ่มที่ผันแปรกับความชัน Yield curve ดังกล่าว สังเกตได้จากตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนวันศุกร์ที่ดัชนี Dow Jones ซึ่งเป็นตัวแทนของ กลุ่ม value play นั้นปรับตัวลงมากกว่าดัชนี NASDAQ อย่างสําคัญ ส่วน Implication ต่อตลาดหุ้นไทยนั้น มองกลุ่มที่อาจจะต้องระมัดระวังมากที่สุด จากปัจจัยนี้ ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BANK)
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities