ในปัจจุบันการปรับข้อมูลในโลกอนาล็อกให้เข้าสู่โลกดิจิทัลมีความสำคัญและกำลังเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการธุรกิจและการเงิน นั่นจึงทำให้การลงทุนในฟินเทคจึงเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โทมัส ฟิลิปปัน นักวิจัยจากมหาลัยนิวยอร์กได้กล่าวถึงความสำคัญของฟินเทคเอาไว้ว่า
“คำว่าฟินเทคฯ นั้นหมายถึงนวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีที่สามารถยกระดับโมเดลทางธุรกิจในโลกการเงิน นวัตกรรมเหล่านั้นจะมาแทรกแซงระบบการเงินเดิมและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมาแทน ยกตัวอย่างเช่นการกำเนิดขึ้นของคริปโตเคอเรนซี่และบล็อกเชนที่สามารถอนุญาตให้บุคคลต่อบุคคลสามารถทำธุรกรรมร่วมกันโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งตัวกลางเดิมๆ อีกต่อไป”
นี่คือคำพูดที่เป็นเรื่องจริง และไม่ว่าคุณจะเป็นส่วนไหนของโลกการเงิน (นักลงทุน นักเก็งกำไร สถาบันการเงิน ธนาคาร บริษัทประกัน ฯลฯ) ก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงนี้ได้ว่าเรากำลังเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติอุตสาหกรรมฟินเทคฯ นี้
การเติบโตของวงการฟินเทคฯ สามารถสามารถเห็นได้ชัดจากเงินหมุนเวียนที่ไหลเข้ามาในวงการมากขึ้น ในปี 2009 วงการฟินเทคฯ สตาร์ทอัพได้รับเงินจาก VC อยู่ประมาณ $1,100 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ในปี 2020 วงการนี้มีเงินหมุนเวียนมากถึง $44,100 ล้านเหรียญสหรัฐ นั่นจึงเป็นที่มาของบทความในวันนี้ว่าจะมีกองทุน ETF ใดที่ได้ลงทุนเกี่ยวกับฟินเทคฯ บ้าง ในวันนี้เราจะพาไปดูกัน
1. Global X FinTech ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $45.30
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $31.75 - $52.87
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.68% ต่อปี
กองทุน ETF แรกที่เราจะแนะนำมีชื่อว่า ‘Global X FinTech’ (NASDAQ:FINX) ได้ลงทุนในบริษัทฟินเทคฯ ที่ทำเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือและการแก้ปัญหาการชำระเงิน ลงทุน ให้ทุน ประกัน และการให้กู้ยืมจากบริษัทบุคคลที่สาม กองทุนนี้เริ่มก่อตั้งและลงทุนมาตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2016
FINX อ้างอิงราคามาจากดัชนี ‘Indxx Global FinTech Thematic’ ปัจจุบันลงทุนในหุ้นอยู่ทั้งหมด 39 ตัว แบ่งออกเป็นกลุ่มเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร 82.1% กลุ่มการเงิน 9.2% กลุ่มอุตสาหกรรม 4.7% และกลุ่มผู้ให้บริการเพื่อการสื่อสารอีก 4% หากพิจารณาเป็นการลงทุนในแต่ละประเทศ จะพบว่า FINX ได้ลงทุนให้บริษัทสหรัฐอเมริกามากถึง 55.4% บราซิล 8.5% ออสเตรเลีย 7.5% เนเธอร์แลนด์ 6.4% และนิวซีแลนด์ 4.9%
สัดส่วนของหุ้นที่ลงทุนนั้น FINX ได้ลงทุนกับหุ้นสิบอันดับแรกประมาณ 55% คิดเป็นสินทรัพย์มูลค่ารวมทั้งหมด $1,210 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่ FINX ได้แก่ Square (NYSE:SQ) Intuit (NASDAQ:INTU) Adyen (OTC:ADYEY) และ PayPal (NASDAQ:PYPL)
แม้ว่าผลงานนับตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงไป 3% แต่ในระยะเวลา 52 สัปดาห์ล่าสุด FINX สามารถทำกำไรกลับคืนมาให้แก่นักลงทุนได้มากกว่า 36% นักลงทุนที่สนใจ ควรถือโอกาสนี้เป็นช่วงเวลาดีในการเข้าซื้อกองทุน FINX
2. Siren NASDAQ NexGen Economy ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $47.98
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $26.28 - $53.31
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.57%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.68% ต่อปี
กองทุน ETF ถัดมาที่เราต้องการจะแนะนำคือกองทุน ‘Siren NASDAQ NexGen Economy’ (NASDAQ:BLCN) เป็นกองทุนที่เน้นบริษัทซึ่งทำเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนโดยเฉพาะ บริษัทเทคโนโลยีในตำนานอย่าง ‘ไอบีเอ็ม’ (NYSE:IBM) ได้ให้คำนิยามแก่บล็อกเชนเอาไว้ว่าเป็น “เทคโนโลยีที่มีความเข้าใจฟังก์ชันในโลกการเงินอย่างครอบคลุม และสามารถตีความในประเด็นของความไว้ใจซึ่งเป็นสิ่งผูกมัดมนุษย์เข้ากับระบบธนาคารปัจจุบันได้อย่างแตกฉาน”
นักลงทุนทั่วไปจะรู้จักบล็อกเชนในแง่ของการเป็นเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังสกุลเงินดิจิทัลชื่อดังอย่างบิทคอยน์และอีเธอเรียม แม้จะมีทั้งกระแสสนับสนุนและต่อต้าน แต่ทั้งสองกระแสก็ทำให้ตลาดสกุลเงินดิจิทัลกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งทำให้บริษัทที่ลงทุนและทำเกี่ยวกับบล็อกเชนได้รับความสนใจมากขึ้นด้วยเช่นกัน
นักวิเคราะห์จาก ‘MarketsandMarket’ ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการเติบโตของวงการบล็อกเชนเอาไว้ว่า
“มีการคาดการณ์กันว่านับตั้งแต่ปี 2020 ไปจนถึงปี 2025 วงการบล็อกเชนทั่วโลกจะเติบโตขึ้นจาก $3,000 ล้านเหรียญสหรัฐขึ้นเป็น $39,700 ล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราการเติบโตของพอร์ตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ในช่วงระหว่างห้าปีนั้นอยู่ที่ 67.3%”
BLCN อ้างอิงราคามาจากดัชนี ‘NASDAQ Blockchain Economy’ ปัจจุบันลงทุนในหุ้นอยู่ทั้งหมด 75 ตัว เริ่มลงทุนมาตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2018 มากกว่าครึ่งของประเทศที่กองทุนนี้เลือกลงทุนล้วนแล้วแต่อยู่ในสหรัฐฯ ตามมาด้วยจีน 13.23% ญี่ปุ่น 12.18% เยอรมัน 4.13% และแคนาดา 2.27% หุ้นที่ BLCN เลือกลงทุนสามารถแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ได้เป็นกลุ่มเทคโนโลยี 41.33% กลุ่มการเงิน 35.80% กลุ่มการสื่อสาร 10.92%
หุ้นสิบอันดับแรกที่ BLCN ลงทุนคิดเป็น 17% ของสินทรัพย์ที่กองทุนมีทั้งหมด $315 ล้านเหรียญสหรัฐได้แก่ Overstock.com (NASDAQ:OSTK) SAP (NYSE:SAP) NVIDIA (NASDAQ:NVDA) และ Fujitsu (OTC:FJTSY)
หากนับตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบัน ราคา BLCN ได้ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 17.74% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ในช่วงกลางเดือนมีนาคม ในระยะเวลา 52 สัปดาห์ล่าสุด BLCN สามารถทำกำไรกลับคืนมาให้แก่นักลงทุนได้มากกว่า 72% นักลงทุนท่านใดที่เชื่อในอนาคตที่ไร้ตัวกลางและเทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถลงทุนกับ BLCN ได้เมื่อราคาย่อตัวลงมาที่ $45