ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จบสัปดาห์ที่แล้วด้วยสร้างขาขึ้นต่อไม่ว่าจะเป็นดัชนีเอสแอนด์พี 500 ดาวโจนส์ที่สามารถสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลได้อีกแล้ว ส่วนแนสแด็กและรัซเซล 2000 แม้จะไม่ได้สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ แต่ก็ถือว่ายังปรับตัวสูงขึ้น นี่คือตลาดลงทุนหลังจากการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (NFP) ประจำเดือนเมษายนหักปากกาเซียน ตัวเลขที่ประกาศออกมาน้อยกว่าตัวเลขคาดการณ์ไปหลายเท่า
การที่ตัวเลขการจ้างงานออกมาผิดคาดขนาดนี้ทำให้นักลงทุนไม่มีข้ออ้างเรื่องปัญหาเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ในขณะเดียวกันธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (FED) ก็จะได้ข้ออ้างในการคงนโยบายทางการเงินเอาไว้ดังเดิมไม่ว่าจะเป็นการปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 0.00% - 0.25% และการซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ แต่ตามความเห็นของเรา มีโอกาสที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับตัวลดลงได้ในระยะกลาง เพราะตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาน้อยเช่นนี้จะส่งผลกระทบไปยังตัวเลขทางเศรษฐกิจอื่น
ความดีใจของนักลงทุนในตลาดที่ได้รู้ว่าแรงหนุนสภาพคล่องจะยังคงอยู่ต่อไปทำให้หุ้นในสิบจากสิบเอ็ดกลุ่มบนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดบวกทั้งหมด นอกจากหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่คงที่แล้ว หุ้นในกลุ่มอื่นล้วนขยับตัวขึ้นหมดเช่นพลังงาน+1.8% กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ +1.2% และกลุ่มอุตสาหกรรม +1.1%
หลังจากที่ตลาดได้ทราบว่าตัวเลขการจ้างงานในเดือนเมษายนเพิ่มขึ้นเพียง 266,000 ตำแหน่ง นักลงทุนก็ได้รีบโยกเงินจากกลุ่มที่ทำขาขึ้นได้ดีในช่วงฟื้นตัวกลับไปลงกับหุ้นกลุ่มที่เคยทำขาขึ้นได้ดีในช่วงโควิด ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็ได้แสดงความคิดเห็นต่อ NFP ว่า “รัฐบาลยังมีงานให้ทำอีกมากมายในการเร่งตัวเลขการจ้างงานให้กลับคืนมา”
สิ่งที่เกิดขึ้นจากตัวเลข NFP ยิ่งเป็นการตอกย้ำความแม่นยำของธนาคารกลางสหรัฐฯ คงจะไม่มีใครกล้าเถียงเฟดในประเด็นที่ว่า “เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว” หรือ “การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของอเมริกานั้นเร็วเกินไปหรือไม่” แต่ด้วยเหตุนี้นักวิเคราะห์ก็ประเมินว่านักลงทุนจะกลับไปกดดันเรื่องการปรับขึ้นอัตราภาษีของโจ ไบเดนว่ายังสมควรอยู่หรือเมื่อได้เห็นตัวเลข NFP เช่นนี้
ที่น่าสังเกตก็คือตอนนี้ตลาดลงทุนกำลังได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว ยิ่งคงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเอาไว้นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งยืดขาขึ้นออกไปให้ไกลขึ้น ในทางตรงกันข้าม ข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมาเพิ่มขึ้นหรือขยายตัวกลับทำให้ตลาดลงทุนเป็นกังวล การเพิ่มขึ้นเล็กน้อยของตัวเลขการจ้างงานฯ ทำให้การฟอร์มตัวแบบหัวไหล่ (Head & Shoulder) ในเอสแอนด์พี 500 เสียสมดุล
ขาขึ้นที่ดีดขึ้นมาจากเส้น neckline ครั้งนี้ทำให้บริเวณไหล่ขวาของรูปแบบหัวไหล่ผิดรูปไป กลายเป็นว่าเราจะต้องพิจารณาว่ากราฟในตอนนี้คือการพักตัวเพื่อปรับตัวขึ้นไปต่อ จริงอยู่ว่าการบริโภคภายในประเทศคิดเป็น 70% ของตัวเลข GDP สหรัฐฯ แต่การจ้างงานก็ถือเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ไม่อาจมองข้ามได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เมื่อตัวเลข NFP ออกมาเช่นนี้จึงสร้างผลกระทบต่อราคาในตลาดมาก
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าการหดตัวของ NFP จะเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น ความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อจะยังคงเป็นประเด็นหลัก พวกเขาให้เหตุผลว่าตัวเลข NFP ที่ออกมานั้นดูไม่สอดคล้องกับตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ปรับตัวลดลงจนล่าสุดมีตัวเลขต่ำกว่า 500,000 คนได้ เราอาจจะต้องจับตาดูสถานการณ์ของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในเดือนนี้ไปก่อนเพื่อประเมินว่าแท้จริงแล้ว เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ฟื้นตัวกลับมาได้เร็วจริงๆ หรือเป็นสิ่งที่ตลาดลงทุนรู้สึกไปเอง
นับตั้งแต่สิ้นเดือนมีนาคม นักลงทุนก็เอาแต่ตั้งคำถามว่าตกลงแล้วอัตราเงินเฟ้อกำลังเพิ่มขึ้นหรือลดลงกันแน่ คำตอบนี้สามารถหาได้จากการสังเกตพฤติกรรมกราฟผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี
การปรับตัวลดลงมาจากจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 30 มีนาคมทำให้กราฟผลตอบแทนฯ จบรูปแบบ double-top และทำให้กราฟปรับตัวลดลงมานับจากตอนนั้น แต่การเกิดขึ้นของแท่งเทียนรูปค้อนที่บริเวณจุดต่ำสุดทำให้มีโอกาสที่กราฟผลตอบแทนฯ จะกลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นต่อ สะท้อนภาพความขัดแย้งระหว่างนักลงทุนทั้งสองกลุ่ม (กลุ่มที่เชื่อในขาขึ้นของปัญหาเงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย)
การจ้างงานสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นเพียง 266,000 ตำแหน่งทำให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนมูลค่า ปรับตัวลดลงต่ำกว่าจุดต่ำสุดของวันที่ 29 เมษายน ที่ต้องจับตาดูก็คือขาลงครั้งนี้ปิดต่ำกว่าเส้นเทรนด์ไลน์ขาขึ้นที่ลากมาตั้งแต่จุดต่ำสุดวันที่ 6 มกราคม เพิ่มความเป็นไปได้ที่สัปดาห์นี้ดอลลาร์จะอ่อนค่าต่อ
เมื่อดอลลาร์อ่อนค่า ก็เป็นธรรมดาที่คู่ปรับตลอดกาลอย่างทองคำจะปรับตัวสูงขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญบางคนประเมินว่าเป้าหมายขาขึ้นของราคาทองคำตอนนี้อยู่ที่ $1,850 ซึ่งตรงกับบริเวณด้านบนของกรอบแนวโน้มขาลงใหญ่และเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน อย่างไรก็ตามตอนนี้ทองคำยังไม่สามารถยืนเหนือ $1,840 ได้ ต่อให้สัปดาห์นี้ราคาทองคำจะย่อลงมา แต่ถ้ายังไม่หลุด $1,800 ก็ยังไม่ถือว่าฝั่งขาขึ้นหมดหวัง
ราชาแห่งสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ยังคงอยู่บนเส้นทางการพิสูจน์ตัวเองต่อไป แม้จะปรับตัวขึ้นมาในวันศุกร์และวันเสาร์ แต่นักลงทุนในบิทคอยน์ก็ยังเปราะบางต่อคำพูดของนักการเมือง ล่าสุดมีข่าวการเรียกร้องให้ภาครัฐเข้ามากำกับการใช้บิทคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ
สัปดาห์ที่แล้วเราได้วิเคราะห์ไปว่ากราฟบิทคอยน์อาจมีมูลค่าลดลงอีกภายในสามเดือน แท่งขาลงในกราฟรายวันล่าสุดถือเป็นการยืนยันแนวต้านที่เกิดจากแท่งเทียนดาวตก (Shooting Star) เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว
สัปดาห์นี้ราคาน้ำมันดิบคาดว่าจะปรับตัวขึ้นตามกรอบต่อตราบใดที่สถานการณ์ ณ Colonial Pipeline ท่อส่งน้ำมันเบนซินและดีเซลที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ (คิดเป็น 45% ของการส่งน้ำมัน) ต้องหยุดดำเนินการทั้งสายเพราะถูกโจมตีทางไซเบอร์ยังไม่คลี่คลาย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบ WTI สามารถขึ้นยืนเหนือระดับราคา $67.98 ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของ WTI นับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2018 ได้ภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม มีโอกาสที่ WTI จะสร้างรูปแบบ double-top ที่บริเวณราคาดังกล่าวได้ อินดิเคเตอร์ ROC ก็ได้ทำรูปแบบ ‘ไวเวอร์เจนต์’ กับกราฟขึ้นมาแล้ว
ข่าวเศรษฐกิจสำคัญประจำสัปดาห์ (เวลาทั้งหมดคำนวณเป็น EDT)
วันจันทร์
21:30 (ออสเตรเลีย) รายงานตัวเลขยอดค้าปลีก: คาดว่าจะคงที่ 1.4%
21:30 (ประเทศจีน) รายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -0.5% เป็น -0.2% MoM
วันอังคาร
05:00 (เยอรมัน) รายงานตัวเลขความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจโดย ZEW: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 70.7 เป็น 71.0 จุด
08:00 (สหรัฐฯ) รายงานภาพรวมตลาดพลังงานระยะสั้นจาก EIA
10:00 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่จาก JLOT: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 7.367M เป็น 7.500M
วันพุธ
02:00 (สหราชอาณาจักร) รายงานตัวเลข GDP: คาดว่าแบบ QoQ จะลดลงจาก 1.3% เป็น -1.7% ส่วนตัวเลขแบบ YoY จะเพิ่มขึ้นจาก -7.3% เป็น -6.0%
05:00 (สหราชอาณาจักร) ถ้อยแถลงจากผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE)
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน: คาดว่าจะคงที่ 0.3%
10:30 (สหรัฐฯ) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -7.990M เป็น -2.346M
วันพฤหัสบดี
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 498K เป็น 540K
08:30 (สหรัฐฯ) ดัชนีราคาผู้ผลิต: คาดว่าจะลดลงจาก 1.0% เป็น 0.3%
วันศุกร์
07:30 (ยูโรโซน) การประกาศนโยบายการเงินจากธนาคารกลางแห่งสหภาพยุโรป (ECB)
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขยอดค้าปลีกพื้นฐาน: คาดว่าจะลดลงจาก 8.4% เป็น 7.5%
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขยอดค้าปลีก: คาดว่าจะลดลงจาก 9.7% เป็น 9.5%