แม้จะมีภาพของการกระจายวัคซีนเกิดขึ้นในหลายๆ พื้นที่ทั่วโลก อิสราเอลประกาศยกเลิกการใส่หน้ากากอนามัยแล้ว ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ก็สามารถทำ ‘ทราเวลบับเบิ้ล (Travel-Bubble)’ ระหว่างกันและกันได้สำเร็จ สหรัฐอเมริกาก็มีการกระจายและฉีดวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เชื่อหรือไม่ว่ายังมีบางประเทศในโลกที่ยังไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนชั้นนำได้และบางประเทศกำลังเผชิญปัญหาจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่อย่างหนัก หนึ่งในนั้นคือประเทศที่ใช้น้ำมันมากที่สุด ซึ่งก็คือประเทศอินเดีย
เชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะได้เห็นภาพว่าสถานการณ์การระบาดของโควิดในอินเดียนั้นย่ำแย่มากแค่ไหน บางโรงพยาบาลถึงขั้นต้องให้ผู้ป่วยโควิดใช้เตียงรวมไปถึงเครื่องช่วยหายใจร่วมกันแล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุให้อินเดียถูกจัดอยู่ในกลุ่ม ‘ประเทศสีแดง’ สำหรับสหราชอาณาจักรซึ่งหมายความว่าคนที่เดินทางจากอินเดียไปยังสหราชอาณาจักรจะถูกควบคุมและตรวจสอบโรคเป็นพิเศษ
แต่ถึงกระนั้นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าตลาดน้ำมันดิบจะพังลงมาทันทีในวันพรุ่งนี้ต่อให้กรุงนิวเดลีจะถูกล็อกดาวน์ในวันพรุ่งนี้ก็ตาม จริงอยู่ว่าที่อินเดียมีความต้องการพลังงานน้ำมันจากผู้บริโภคมากถึงหนึ่งพันสี่ร้อยล้านคน แต่นอกจากอินเดียแล้วก็ยังมีประเทศผู้ใช้น้ำมันเป็นหลักอย่างประเทศจีนอยู่ซึ่งตอนนี้พวกเขาก็ได้หลุดพ้นจากวิกฤตโควิดและกลับมาใช้ชีวิตตามปกตินานแล้ว และเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาก็จะตามมาในไม่ช้าเช่นกัน
สรุปให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือว่าในตอนนี้สามประเทศที่ใช้งานพลังงานจากน้ำมันเป็นหลักสามอันดับแรกคือสหรัฐอเมริกา จีน และอินเดีย แม้สถานการณ์ของอีกสองประเทศจะช่วยพยุงตลาดน้ำมันเอาไว้ได้ แต่ปัญหาโควิดที่อินเดียเผชิญก็ส่งผลกระทบต่อความต้องการน้ำมันภายในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ หนึ่งในเหตุผลที่ประเทศอินเดียมีความสำคัญต่อตลาดน้ำมันมากเป็นเพราะ “อินเดียเป็นตลาดเดียวที่มีโอกาสเติบโตในแง่ของการใช้พลังงานจากน้ำมันในอนาคต”
จอห์น คิลดัฟฟ์ พาร์ทเนอร์ของกองทุนเฮจฟันด์ด้านพลังงาน Again Capital วิเคราะห์ว่า
“การพยายามรักษาสมดุลในตลาดน้ำมันโลกในยามที่สถานการณ์เป็นปกติก็ถือเป็นเรื่องยากอยู่แล้ว ยิ่งมีปัจจัยที่ซับซ้อนเข้ามากระทบ อย่างเช่น การแพร่ระบาดก็ยิ่งทำให้การรักษาสมดุลระหว่างอุปสงค์อุปทานยิ่งยากเข้าไปใหญ่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็นราคาน้ำมันปรับตัวลดลงได้ง่ายในช่วงเวลาที่มีวิกฤตเช่นนี้”
องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ได้เปิดเผยรายงานที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของประเทศอินเดียที่มีต่อตลาดน้ำมันดิบในเดือนกุมภาพันธ์ว่า
“ภายในสองทศวรรษนับจากนี้ อินเดียจะเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อการใช้งานน้ำมันมากที่สุดของโลก ความต้องการใช้งานน้ำมันในอินเดียจะเพิ่มขึ้นเป็น 4 - 8.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ภายในปี 2040 เนื่องจากว่าทุกวันนี้ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีนเริ่มหันไปหาพลังงานทางเลือกอื่นโดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น”
IEA กล่าวต่อว่า “การใช้งานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติภายในประเทศจะยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าจากประเทศผู้ผลิตน้ำมันมากกว่า 90% ภายในปี 2040 เพิ่มขึ้น 75% จากการใช้งานน้ำมันในทุกวันนี้ หากจะกล่าวว่าอินเดียจะต้องกลายเป็นเมืองขึ้นของกลุ่มโอเปก (OPEC) ก็คงจะไม่ผิดนัก โอเปกจะยิ่งมีอิทธิพลควบคุมวัฎจักรน้ำมันภายในอินเดียได้ง่ายขึ้น”
ความร่วมมือระหว่าง OPEC และรัฐบาลอินเดีย
แม้ว่าอินเดียจะรู้ดีว่าตนเองพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากกลุ่มโอเปกมากเกินไป และพยายามหาพันธมิตรผู้ผลิตน้ำมันใหม่มากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าทางด้านภูมิศาสตร์นั้นการขนส่งน้ำมันมาจากซาอุดิอาระเบียและอีรักนั้นทำได้ง่ายกว่ามาก ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มโอเปกและประเทศอินเดียจึงเป็นสิ่งที่อินเดียไม่อาจจะปฏิเสธได้
กลุ่มโอเปกทราบถึงข้อได้เปรียบในส่วนนี้ดี ดังนั้นพวกเขาจึงผูกความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นด้วยการเสนอตัวช่วยอินเดียสร้างโรงกลั่นน้ำมันที่จะสามารถผลิตน้ำมันได้วันละ 1.2 ล้านบาร์เรล ผ่านความร่วมมือกันระหว่างบริษัทโรงกลั่นในอินเดีย ‘รีไรแอนซ์ อินดัสทรี (Reliance Industries)’ (RELI) กับบริษัทผู้ผลินน้ำมันแห่งชาติของซาอุดิอาระเบีย ‘ซาอุดิอารัมโก’ (SE:2222) และบริษัท ‘ADNOC’ ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ถึงโครงการนี้จะล้าช้าไปบ้างแต่ก็ยังไม่มีข่าวว่าจะมีการผับโครงการ ทั้งรีไรแอนซ์และอารัมโก คาดว่าจะกลับมาสร้างโรงกลั่นน้ำมันนี้กันต่อภายในปี 2021 รีไรแอนซ์ถือเป็นบริษัทผู้ทำธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานในอินเดียที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ พวกเขาสามารถเพิ่มปริมาณการส่งออกน้ำมันขึ้นเป็น 820,000 บาร์เรลต่อวันหรือคิดเป็น 17% ได้และยังมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันขึ้นไปให้ถึง 2 ล้านบาร์เรลให้ได้ก่อนสิ้นปี 2030 หากทำได้ตามเป้าหมายจริงจะถือเป็นการทำกำไรได้อย่างมหาศาลจากทั้งสองฝ่าย
เอสแอนด์พี โกลบอล แพลต (S&P Global Platts) วิเคราะห์ว่าการใช้น้ำมันโดยเฉพาะน้ำมันดีเซลและเชื้อเพลิงของอินเดียจะกลับมาภายในปีนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้น 9.3% หลังจากที่หดตัวมากถึง 7.7% ในปี 2020 นี่คือตัวเลขคาดการณ์ที่ถูกประเมินภายใต้เงื่อนไขว่าอินเดียจะมีการกระจายวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง
นอกจากนี้เอสแอนด์พีโกลบอลยังประเมินด้วยว่าความต้องการน้ำมันดิบในปี 2021 มีโอกาสกลับขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับปี 2019 ก่อนที่จะมีการแพร่ระบาด หมายความว่าอินเดียจะมีความต้องการใช้น้ำมันวันละ 470,000 บาร์เรลต่อวันหลังจากลดลงไปมากถึง 470,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2020 พวกเขาให้เหตุผลว่าประชาชนชาวอินเดียยังนิยมการขับรถยนต์ส่วนบุคคลอยู่ สังเกตได้จากโฆษณาตามสื่อต่างๆ ที่มักจะเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ (คิดเป็น 40% ของผลิตภัณฑ์ในอินเดียที่ใช้พลังงานน้ำมัน) ดังนั้นความต้องการน้ำมันดีเซลภายในประเทศนี้จึงสูงมาก
นอกจากความต้องการน้ำมันดีเซลแล้ว ผลผลิตจากน้ำมันเชื้อเพลิงถือเป็นผลิตภัณฑ์จากน้ำมันที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสอง ตามมาด้วยพลังงานเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินเนื่องจากสายการบินภายในประเทศยังไม่สามารถบินไปยังประเทศอื่นได้เพราะสถานการณ์โควิด
ความเลวร้ายของสถานการณ์โควิดในประเทศอินเดีย
“สถานการณ์โควิดในอินเดียตอนนี้เหมือนกับการถูกผูกติดเอาไว้กับระเบิดเวลาที่ใกล้จะระเบิดแล้ว” สำนักนักข่าววอชิงตัน โพสต์ กล่าวเปรียบเทียบ “หากระเบิดขึ้นมาจะเลวร้ายยิ่งกว่าการแพร่ระบาดที่เคยเกิดขึ้นในจีนหรืออิตาลี”
นาย Arvind Kejriwal ข้าราชการระดับสูงท่านหนึ่งของอินเดียกล่าวว่า
“ ยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นทุกวันนี้เกือบจะเป็นกราฟแบบตั้งฉาก ความสามารถในการรองรับผู้ป่วยของสาธารณสุขของอินเดียใกล้จะถึงขีดจำกัดหากไม่มีการจัดการควบคุมอย่างจริงจัง” ล่าสุดเมื่อวานนี้อินเดียพึ่งประกาศล็อกดาวน์กรุงนิวเดลีหกวัน
ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) แสดงความกังวลต่อการแพร่ระบาดโควิดในอินเดียว่า “ยอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตขึ้นถึงระดับที่ต้องเป็นกังวลแล้ว”
Bhramar Mukherjee นักชีวสถิติจากมหาลัยมิชิแกนให้ความเห็นว่า “ตอนนี้อินเดียมียอดผู้ติดเชื้อรายวันมากกว่า 250,000 คนต่อวัน หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เราจะได้เห็นตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อวันละ 500,000 คนภายในเดือนนี้แน่นอน”
สำนักข่าว The Post’s New Delhi ให้ความเห็นต่อการแพร่ระบาดครั้งนี้ว่า
“ที่จริงแล้วอินเดียไม่สมควรจะมาเจอสถานการณ์เช่นนี้เลยจริงๆ ในช่วงต้นปี 2021 อินเดียยังสามารถควบคุมโควิดได้ดีมาก กดยอดผู้ติดเชื้อรายวันให้ลดลงต่ำกว่า 10,000 คนได้ แต่เพราะมีข่าวว่ารัฐบาลได้นำเข้าวัคซีนจึงทำให้ผู้คนการ์ดตกและนำมาซึ่งการแพร่ระบาดในวันนี้ ยอดผู้เสียชีวิตในแต่ละวันยังคงสร้างจุดสูงสุดใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมรุเผาศพในบางเมืองเรียกได้ว่า ‘เข้าคิวเผา’ กันแล้วตอนนี้”