ครั้งหนึ่งฉันเคยเขียนถึงความสำคัญของตลาดน้ำมันในอินเดียเอาไว้ว่าประเทศนี้จะมีบทบาทกับการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกและตลาดน้ำมันในอนาคตอย่างไร ในปี 2019 อินเดียเคยได้รับตำแหน่งประเทศผู้ใช้งานพลังงานน้ำมันมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลกรองจากสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน ที่สำคัญก็คืออินเดียเป็นประเทศที่ไม่สามารถผลิตน้ำมันได้เอง หมายความว่าน้ำมันที่ใช้กันอยู่ภายในประเทศทุกวันนี้คือน้ำมันที่นำเข้าทั้งหมด
แม้จะมีนักวิเคราะห์บางคนไม่เห็นด้วยว่าปริมาณการใช้งานน้ำมันในอินเดียจะเติบโตขึ้นภายในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีนี้ แต่นักวิเคราะห์จากองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ได้เปิดเผยข้อมูลคาดการณ์ออกมาแล้วว่าปริมาณการใช้งานน้ำมันขvงอินเดียจะเพิ่มขึ้นจาก 4.9 ล้านบาร์เรลในปี 2019 ขึ้นเป็น 6 ล้านบาร์เรลในปี 2024
ก่อนที่ผู้อ่านจะเข้าใจอนาคตของตลาดน้ำมันอินเดียได้ ก่อนอื่นต้องเข้าใจสถานการณ์ของตลาดน้ำมันก่อน ทั้งในแง่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของอินเดียในตอนนี้และอนาคต รวมถึงสถานการณ์ภายในกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันอย่าง OPEC และ OPEC+ เสียก่อน
ความไว้วางใจที่มีต่อการบริหารและความเสี่ยงของกลุ่ม OPEC+
ข้อมูลจากองค์กรด้านพลังงาน (EIA) ในปี 2019 ระบุว่า 59% ของน้ำมันในประเทศอินเดียถูกนำเข้ามาจากประเทศตะวันออกกลางอย่างเช่นอิรักหรือซาอุดิอาระเบีย นำมาเก็บสะสมเอาไว้ใช้ประเทศละ 22% และ 19% ตามลำดับ ข้อมูลนี้ถือว่าเชื่อถือได้เพราะประเทศอินเดียอยู่ติดกับทวีปตะวันออกกลาง
ข้อมูลจากเว็บไซต์ TankerTankers.com ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าการส่งน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง (อ่าวเปอร์เซีย) ไปยังท่าเรือต่างๆ ของอินเดียโดยเรือนั้นใช้เวลาเพียง 2-4 วันเท่านั้น เทียบกับการส่งน้ำมันจากทวีปอเมริกามายังอินเดียแล้วต้องใช้เวลานานถึง 6 สัปดาห์ นอกจากทั้งสองประเทศแล้วอินเดียยังนำเข้าน้ำมันจากประเทศอื่นด้วยเช่นไนจีเรีย 8% เวเนซูเอลา 7% และสหรัฐอเมริกา 5%
ในปี 2020 อินเดียลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันจากเวเนซูเอลาเนื่องจากการคว่ำบาตรประเทศเวเนซูเอลาของสหรัฐอเมริกา เพื่อที่จะชดเชยปริมาณน้ำมันที่หายไป อินเดียจึงได้เพิ่มการนำเข้าน้ำมันจากประเทศอิรัก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และคูเวต
เข้าใจได้ว่าการพึ่งพาน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางส่วนหนึ่งทำไปเพื่อลดต้นทุนการขนส่งให้น้อยที่สุด แต่หากมองอีกด้านหนึ่งก็ดูเหมือนว่าอินเดียจะพึ่งพาน้ำมันจากตะวันออกกลางมากไป ถือเป็นความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ประการหนึ่ง เมื่อไม่นานนี้เองพึ่งมีเหตุที่ทำให้เชื่อได้ว่าการพึ่งพาน้ำมันจากกลุ่ม OPEC+ นั้นถือเป็นความเสี่ยงต่อราคาน้ำมันในตลาดเป็นอย่างยิ่ง
เพราะการนำเข้าน้ำมัน 83% ของประเทศอินเดียมาจากประเทศในกลุ่ม OPEC+ ดังนั้นในตอนนี้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวขึ้นไปยืนเหนือ $70 ต่อบาร์เรลจึงทำให้อินเดียต้องเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกในกลุ่มโอเปกพลัสที่ส่งน้ำมันให้ตนสนับสนุนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพื่อที่ตัวเองจะได้ซื้อน้ำมันในราคาที่ถูกลง
ที่น่าสนใจก็คือนอกจากข้อเรียกร้องในการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันแล้ว อินเดียยังพูดถึงการลดกำลังการผลิตฯ 1 ล้านบาร์เรลของซาอุดิอาระเบียด้วยว่ามีส่วนที่ทำให้ “ผู้บริโภคภายในประเทศเกิดความสับสน” และกล่าวว่าซาอุดิอาระเบียเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น อินเดียต้องการแนวทางการบริหารทรัพยากรน้ำมันที่ชัดเจนจากลุ่มโอเปกพลัสและต้องการให้ราคาน้ำมันถูกลงด้วย
อย่างไรก็ดีกลุ่มโอเปกพลัสได้ตัดสินใจในการประชุมเมื่อเดือนมีนาคมว่าจะไม่เพิ่มกำลังการการผลิตน้ำมัน และรัฐมนตรีกระทรวงที่ดูแลเกี่ยวกับการบริหารพลังงานน้ำมันของซาอุดิอาระเบียยังบอกกับอินเดียด้วยว่าถ้าอยากได้น้ำมันมากขึ้นก็ให้ไปเอาน้ำมันที่อยู่ในคลังของประเทศตัวเองออกมาใช้ อินเดียไม่ถูกใจการตอบโตครั้งนี้อยู่พอสมควรและพยายามที่จะไม่ง้อการนำเข้าน้ำมันจากซาอุดิอาระเบีย
แม้ว่ากลุ่มโอเปกพลัสจะมีมติใหม่ให้เริ่มเพิ่มกำลังการลิตน้ำมันตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป และยังได้กำลังการผลิตน้ำมันกลับมาจากซาอุดิอาระเบียอีกด้วย แต่สำหรับอินเดียนั้นพวกเขายืนยันว่านโยบายเพียงเท่านี้ยังไม่พอที่จะทำให้พวกเขาคลายความกังวล เหมือนว่าตอนนี้อินเดียจะเริ่มมองว่าประเทศผู้ผลิตน้ำมันในกลุ่มโอเปกพลัสจะไม่ใช่สหายที่ไว้ใจได้เหมือนแต่ก่อน
อันที่จริงอินเดียได้เริ่มลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันจากซาอุดิอาระเบียมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์หรือตั้งแต่ตอนซาอุดิฯ ตัดสินใจลดกำลังการผลิตน้ำมันของตน อินเดียลดความสำคัญของการนำเข้าน้ำมันของซาอุดิอาระเบียจากเบอร์สองลงมาเป็นเบอร์สี่ นอกจากนี้บริษัทผู้ผลิตน้ำมันประจำชาติอย่างซาอุดิอารัมโก (SE:2222) ก็ได้มีนโยบายปรับขึ้นราคาขายน้ำมันให้กับทวีปเอเชียโดยจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คืออินเดียลดปริมาณการซื้อน้ำมันจากซาอุดิอาระเบียลงอย่างชัดเจน จากเดิมที่เคยซื้อน้ำมันอยู่ที่ปริมาณ 14.8 ล้านบาร์เรลต่อเดือนลดลงเหลือ 9.5 ล้านบาร์เรลต่อเดือนเท่านั้นซึ่งคำสั่งนี้จะมีผลตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป
อินเดียพยายามที่จะลดการซื้อน้ำมันจากกลุ่มโอเปกอย่างเห็นได้ชัด ล่าสุดพวกเขาหันไปลองพึ่งพาประเทศอื่นอย่างเช่นกัวอานา นอร์เวย์ และพันธมิตรคนสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา แม้ว่าการขนส่งน้ำมันจากอเมริกาจะกินเวลานานกว่าและแพงกว่า แต่ก็มีรายงานระบุว่าปริมาณการสั่งซื้อน้ำมันจากสหรัฐฯ ของอินเดียนั้นค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างมั่นคง
แม้ว่าการเปลี่ยนคู่ซื้อของอินเดียจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อราคาน้ำมันดิบ WTI และเบรนท์ แต่การที่อินเดียตีตัวออกห่างกลุ่มโอเปกได้ส่งสัญญาณความไม่เชื่อมั่นต่อกลุ่มไปยังประเทศผู้ใช้น้ำมันอื่นทั่วโลก ที่สำคัญการที่ประชากรอินเดียเพิ่มขึ้นทุกปีย่อมหมายถึงความต้องการน้ำมันต้องยิ่งสูงขึ้น ต่อให้กลุ่มโอเปกไม่อยากค้าขายกับอินเดีย แต่ก็มีผู้ซื้ออื่นที่ต้องการทำธุรกิจกับประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำเข้าน้ำมันอันดิบที่สามของโลกอยู่แล้ว