Biden อาจเชื่อว่าสหรัฐจำเป็นต้องพิมพ์เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลงทุนในประเทศอีก 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจสหรัฐจะแพ้จีนอย่างแน่นอน
ถึงแม้ปีนี้อาจจะเป็นปีแรกในรอบ 45 ปีที่ GDP ของสหรัฐมีลุ้นโตแซงหน้าจีน ! โดยหลายฝ่ายนั้นคาดว่า GDP สหรัฐอาจจะโตได้ที่ +7% เมื่อเทียบกับจีนที่ +6% ในปีนี้
แต่ Joe Biden ประธานาธิบดีสหรัฐนั้นทราบดีว่าตัวเลขนี้จะไม่ยั่งยืนแน่ๆ และคงเป็นผลระยะสั้นมาจากการที่สหรัฐได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิดหนักกว่าจีนเยอะมากในปีที่ผ่านมา ทำให้ GDP นั้นวัดการโตจากฐานที่ต่ำกว่า
"“If we don’t get moving, China are going to eat our lunch,”
ทาง Biden กล่าวเตือนทีมงานเศรษฐกิจของเขาว่าทางจีนกำลังจะเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดทางเศรษฐกิจของสหรัฐไปแน่ๆ ถ้าทางสหรัฐไม่ทำอะไรซักอย่าง
เช้านี้ทางเพจได้รายงานไปว่าทีม Biden เตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม! รอบนี้อาจมีมูลค่าสูงถึง 3 หรือ 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว
รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดนกำลังพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่ ทั้งๆที่เพิ่งอนุมัติมาตรการเยียวยาผลกระทบไวรัสโควิด-19 โดยการอัดฉีดเงินมูลค่า 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเข้าระบบไปหมาดๆ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่นี้จะเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างความสามารถการแข่งขันทางธุรกิจของสหรัฐ การลงทุนในพลังงานสะอาด การรักษาพยาบาล และรวมถึงการศึกษาด้วย
โดยมาตรการครั้งใหม่นี้จะ แตกต่างกับครั้งก่อน ตรงที่ยังไม่ได้มีการกล่าวว่าจะมีการแจกจ่ายเงินช่วยเหลือให้กับประชาชนโดยตรงหรือไม่
เงินจำนวนมากกำลังจะไหลเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจเศรษฐกิจสหรัฐอย่างต่อเนื่อง แต่มันกำลังจะยิ่งทำให้นักลงทุนกังวลเรื่อง #ค่าเงินเฟ้อ และ #การจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น หรือไม่ ?
แน่นอนว่ายิ่งมีการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นก็จะต้องยิ่งมีการจ่ายหนี้คืนมากขึ้นเท่านั้น และทางเดียวที่รัฐบาลสหรัฐจะหาเงินมาใช้คืนได้นั้นก็มาจากการเก็บภาษีนั้นเอง หากทางรัฐบาลสามารถกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศได้ตามเป้า และบริษัทในสหรัฐสามารถทำกำไรมาจ่ายภาษีได้ตามเป้าก็อาจจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมาก
แต่หากอัดฉีดเงินเข้าไปแล้ว แต่เงินได้จากภาษียังไม่เพียงพอต่อการชำระคืนหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ ก็อาจจะสร้างปัญหาในระยะยาวให้กับประเทศได้
อีกทางออกนึงคือการขึ้นภาษี แต่การขึ้นภาษีนั้นก็มีผลกระทบในเชิงลบในระยะยาว จะยิ่งทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจชะลอลงหรือไม่ เมื่อต้นทุนและค่าใช้จ่ายของบริษัทนั้นสูงขึ้น
Ray Dalio เคยกล่าวเตือนไว้ว่า เมื่อไหร่ที่ระบบการเงินของประเทศมหาอำนาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศได้ #จะมีประเทศมหาอำนาจใหม่ผุดขึ้นมา และวันนี้จีนก็พร้อมจะรับไม้ต่อนั้น
Ray เคยกล่าวว่าการขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยนั้นเป็นการแก้ปัญหาวงจรการกู้ยืมเงินระยะสั้น แต่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาวงจรการกู้ยืมเงินในระยะยาว (รายละเอียดตามบทความที่เคยเขียนอธิบายไป จะแนบ Link ไว้ในคอมเม้นท์นะครับ)
และเมื่อไหร่ที่ประเทศมหาอำนาจไม่สามารถแก้ไขวงจรหนี้ระยะยาวได้ ประเทศก็จะเริ่มเกิดปัญหามากขึ้น ความเหลื่อมล้ำทางสังคมก็จะสูงขึ้น เกิดการประท้วงภายในประเทศ (เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นแล้วหลายครั้งแล้วบนโลกนี้ แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือการเปลี่ยนอำนาจจากเยอรมันไปยังสหรัฐหลังสงครามโลก)
ตอนนี้หากสหรัฐไม่สามารถแก้ไขปัญหาหนี้และการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศได้ ทางจีนก็พร้อมจะรับไม่ต่อในการก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอันดับที่ 1 ของโลกแทน
ตอนนี้ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังคงตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ การเจรจาทางการทูตในอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ปิดฉากลงด้วยบรรยากาศไม่ราบรื่นนัก ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายนั้นทราบดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นและพยายามใช้อำนาจต่อรองกัน
และหากทางสหรัฐไม่ทำอะไรซักอย่าง ทั้งขนาดเศรษฐกิจและอิทธิพลของจีนบนโลกนี้อาจจะก้าวขึ้นแซงหน้าทางสหรัฐเร็วกว่าที่เราคาดไว้ก็เป็นได้ !
ติดตามข่าวสารการลงทุนที่น่าสนใจไปกับ Facebook fanpage ทันโลกกับTraderKP
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่ Facebook fanpage ทันโลกกับTraderKP