Janet Yellen ยืนยันค่าเงินสหรัฐไม่เฟ้อแน่ๆ และเชื่อว่าทาง FED ยังคุมได้อยู่ ! แต่นักลงทุนตลาด Bond กลับไม่ได้มองเช่นนั้น และยังคงเทขายพันธบัตรอย่างต่อเนื่อง...
ในเมื่อสิ่งที่ FED ชี้กับตลาดกำลังไปคนละทิศคนละทาง นักลงทุนทั่วโลกควรเตรียมตัวเช่นไร ?
เมื่อวานนี้ทางเพจเพิ่งลงบทความไปว่า Michael Burry ได้ออกมาเตือนว่า "ฟองสบู่ตลาดหุ้นสหรัฐกำลังจะแตกในไม่ช้านี้เนื่องจากค่าเงินเฟ้อที่รุนแรง"
นักลงทุนทั่วโลกก็เริ่มกังวลถึงเรื่องนี้กันขึ้นจริงๆ โดยเราสามารถสังเกตุเห็นได้ชัดจากสัญญาณในตลาดพันธบัตรสหรัฐที่ Bond Yield กำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะเหล่านักลงทุนกำลังเทขายพันธบัตรที่คิดว่ามีผลตอบแทนไม่คุ้มกับค่าเงินเฟ้อ
เพราะผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวอย่างระยะ 10 ปีนั้นอยู่ที่เพียง 1.6% เท่านั้น เทียบกับค่าเงินเฟ้อที่ตลาด Bond มองว่าอาจจะสูงถึง 2% ถึง 3%
เมื่อคืนนี้ทาง Janet Yellen รัฐมนตรีคลังสหรัฐได้พยายามออกมาตอบโต้และพยายามยุติความวิตกกังวลของนักลงทุนทั่วโลกอีกครั้งโดยการกล่าวว่า
"ถ้าถามว่าสหรัฐมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อไหม? ฉันคิดว่าความเสี่ยงก็พอมีอยู่ แต่ยังน้อยมาก และหากเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นจริง ทางรัฐบาลก็จะสามารถหาทางควบคุมและเชื่อว่ายังเอาอยู่ได้" Janet Yellen กล่าวกับรายการ This Week
ทำไมนักลงทุนถึงกังวลเรื่องเงินเฟ้อสูง ?
เพราะมาตรการฟื้นฟูเยียวยาเศรษฐกิจฉบับใหม่ที่กำลังจะอัดฉีดเงินมูลค่า 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเข้ามาในระบบ เพิ่งได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลสหรัฐไปเมื่ออาทิตย์ก่อน
และถึงแม้สภาพเศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว (ไตรมาสที่ 2 ปีนี้หลายฝ่ายมองว่าจะโตเกิน 10%) แต่ทาง FED ยังยืนยันที่จะพิมพ์เงินและคงดอกเบี้ยที่ 0% ต่อไป ซึ่งจะเป็นแรงพลักให้ค่าเงินยิ่งเฟ้อหนักขึ้นไปอีก
ทำไม Yellen ถึงมองว่าเงินจะไม่เฟ้อ ?
ทางรัฐมนตรีคลังสหรัฐกล่าวว่าทางรัฐบาลและธนาคารกลางสหรัฐมีการจับตาดูสถานการณ์ค่าเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด และตอนนี้ก็ยังไม่มีสัญญาณใดที่บ่งบอกว่าค่าเงินกำลังจะเฟ้ออย่างรุนแรง
ทางสหรัฐเพิ่งรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นการวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคออกมาในอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็พบว่าดัชนี CPI ดีดตัวขึ้นเพียง 0.4% ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งใกล้เคียงกับที่ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนมกราคม ไม่ได้สูงขึ้นอย่างที่ตลาดคาดไว้
(เป็นไปได้ว่าถึงแม้จะมีการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบอย่างมากมาย แต่ตราบใดที่คนยังไม่ได้นำเงินเหล่านี้ไปรุมแย่งซื้อสินค้าหรือสินทรัพย์ ก็จะยังไม่ทำให้เกิดค่าเงินเฟ้อรุนแรง ตอนนี้คนส่วนมากยังคงเพิ่มสัดส่วนในการออมเงินสูงขึ้นอยู่ด้วยซ้ำ)
แล้วทำไมนักลงทุนถึงยังเทขายพันธบัตรระยะยาวออกมาเพราะกลัวเงินเฟ้อ ถ้าทาง FED และรัฐบาลสหรัฐยืนยันเช่นนี้ ?
ต้องบอกว่าตอนนี้มุมมองของนักลงทุนในตลาด Bond ตอนนี้คงไม่เห็นด้วยกับข้อมูลของ FED การที่ 2 ฝ่ายนั้นเชื่อไม่ตรงกันทำให้มีฝ่ายใดฝ่ายนึงที่ต้องมองผิดไปแน่ๆ
ทาง FED เองเชื่อว่าค่าเงินจะไม่เฟ้อหนัก แต่นักลงทุนในตลาดพันธบัตรกลับคิดว่า FED อาจจะมองพลาดไป หรืออาจมีข้อมูลบางอย่างที่ FED พยายามจะปกปิดอยู่
เพราะหลังจากสหรัฐกลับมาเปิดประเทศแบบเต็มตัว หลายฝ่ายเชื่อว่าการจับจ่ายใช้สอยจะกลับมาสูงกว่าที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน และต้นทุนของสินค้าหลายอย่างก็อาจจะสูงขึ้นด้วยเพราะหลังภาวะไวรัสระบาด การย้ายฐานผลิตของสินค้าทั่วโลกอาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้น
ถ้าทาง FED มองถูกจริง Bond Yield อาจจะกลับมาถูกซื้อกลับอีกครั้ง แต่ถ้าทางนักลงทุน Bond เป็นผู้มองถูก พันธบัตรระยะยาวก็จะยังโดนเทขายอย่างต่อเนื่อง และภาวะเงินเฟ้อจะเริ่มเข้ามากระทบตลาดหุ้นอีกต่อ
ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายมองได้ถูกหรือผิด แต่ความเสี่ยงนี้กำลังตกอยู่กับนักลงทุนทั่วโลก
สิ่งนึงที่นักลงทุนทั่วโลกควรจับตามองอย่างใกล้ชิด ตอนนี้คือ Bond Yield ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ #โดยเฉพาะนักลงทุนในกลุ่มหุ้น Tech หรือ Growth Stock
ถึงแม้คุณจะไม่เคยติดตามตัวเลขนี้เลยแต่เวลานี้คุณต้องเริ่มหันมาให้ความสนใจมันแล้ว ! เพราะตลาดพันธบัตรนั้นมีขนาดใหญ่กว่าตลาดหุ้นอยู่มากกว่า 4-5 เท่าทำให้
"คลื่นอะไรก็ตามที่กระเพื่อมเล็กน้อยในตลาดพันธบัตร จะส่งผลกระทบกลายมาเป็นคลื่นลูกใหญ่ในตลาดหุ้น และ Bond Market กำลังเป็นตลาดที่จะชี้นำทิศทางตลาดหุ้นในเวลานี้"
และถึงแม้ทาง FED จะยืนยันขนาดไหนว่าค่าเงินยังจะไม่เฟ้อ แต่ถ้าตลาด Bond ยังคงโดนเทขายต่อเนื่อง สุดท้ายแล้วยังไงหุ้นกลุ่ม Growth และ Tech ก็จะหนีไม่รอดและยังจะโดนแรงกดดันอยู่ดี เพราะราคาตลาดเป็นผู้กำหนดทิศทางของเม็ดเงิน มากกว่าเพียงแค่คำพูดยืนยันของ FED และรัฐบาลสหรัฐ
ติดตามข่าวสารการลงทุนที่น่าสนใจไปกับ Facebook fanpage ทันโลกกับTraderKP
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่ Facebook fanpage ทันโลกกับTraderKP