จบปี 2020 อย่างเป็นทางการด้วยการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องเป็นปีที่นักลงทุนจดจำไปอีกนานแสนนาน ใครจะคิดว่าวันหนึ่งโลกจะถูกบีบให้เข้าหาเทคโนโลยีมากขึ้นด้วยวิกฤตโรคระบาด การทำงานจากที่บ้านกลายเป็นกระแสสังคมที่มาแรงมากในปี 2020 และเชื่อว่าจะกลายเป็นการเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานนับจากนี้เป็นต้นไป
ในขณะที่ทุกภาคส่วนกำลังได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 มีเพียงหุ้นกลุ่มเดียวที่สามารถเติบโตขึ้นมาได้อย่างโดดเด่นนั่นคือหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี เห็นได้ชัดเลยว่าในช่วงเวลาที่บริษัททั่วไปรายงานได้แต่ผลประกอบการที่สะบักสะบอม มีเพียงกลุ่มเทคโนโลยีเท่านั้นที่เติบโตในแบบที่แรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่
ยกตัวอย่างเช่นหุ้นของบริษัทผู้ผลิต iPhone อย่างแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้ทุกไตรมาสในปี 2020 แม้ว่าปัจจุบันหุ้นแอปเปิลจะปรับตัวลดลงมากกว่า 5% นับตั้งแต่การรายงานผลประกอบการล่าสุดในวันที่ 2 กุมภาพันธ์
หากพิจารณาเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีชื่อดัง จะเห็นว่ามีเพียงหุ้นของบริษัทอัลฟาเบต (NASDAQ:GOOGL) และไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) เท่านั้นที่ยังปรับตัวสูงขึ้นหลังจากรายงานผลประกอบการ หุ้นของกูเกิลปรับตัวขึ้น 5% นับตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ในขณะที่หุ้นไมโครซอฟต์ปรับตัวขึ้น 6% นับตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหุ้นเทคฯ เช่นนี้แสดงให้เห็นว่านักลงทุนเริ่มไม่แน่ใจว่าในปี 2021 หุ้นเทคโนโลยีดังๆ จะยังเติบโตได้ดีเหมือนปีที่แล้วหรือไม่ เมื่อวัคซีนมาแล้วและเราก็กำลังอยู่ระหว่างช่วงเวลาแห่งการกระจายวัคซีน สถานการณ์ทุกอย่างก็น่าจะกลับเข้าสู่เป็นปกติโดยเร็ว หุ้นที่เคยได้รับผลกระทบก็จะฟื้นตัวกลับมา ความต้องการเทคโนโลยีก็จะลดลงแล้วทำไมยังต้องลงทุนให้หุ้นเทคโนโลยีอยู่อีก?
นอกจากนี้ นักลงทุนบางส่วนก็เป็นห่วงว่าในปี 2021 ภาครัฐจะออกข้อกฎหมายบังคับที่รุนแรงกับบริษัทเทคฯ ชื่อดังมากขึ้น การเติบโตของพวกเขาในแต่ละวันแทบจะเป็นการผูกขาดการค้าแบบกลายๆ เมื่อพูดถึงประเด็นข้อกฎหมายกับการเติบโตของหุ้นเทคโนโลยี บริษัทที่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในกรณีนี้คือเฟซบุ๊ก (NASDAQ:FB) ในปีที่ผ่านมาเฟซบุ๊กต้องเผชิญกับปัญหาทางด้านกฏหมายมากมายซึ่งข่าวเหล่านั้นก็สร้างผลกระทบเชิงลบให้กับหุ้นเฟซบุ๊ก แม้ว่าบริษัทจะสามารถแสดงกำไรที่เติบโตอย่างมหาศาลในไตรมาสที่ 4 แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เฟซบุ๊กมีโอกาสถูกเพ่งเล็งมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมในปี 2021
การลงทุนในกลุ่มหุ้นที่เปลี่ยนแปลงไป
นักวิเคราะห์บางคนวิเคราะห์เอาไว้ว่าการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวในปีที่ผ่านมาเหมือนเป็นการคานความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นที่กำลังได้รับผลกระทบจากโควิด เมื่อวัคซีนที่จะเป็นตัวแก้ปัญหามาแล้ว ก็ถึงเวลาที่ตลาดจะเปลี่ยนจากการลงทุนในตัวคานความเสี่ยงกลับมาเป็นการลงทุนในหุ้นที่เคยเติบโตตามธรรมชาติอย่างเช่นหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว ธนาคาร และพลังงาน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมช่วงนี้ดัชนีของบริษัทขนาดเล็กอย่างรัสเซล 2000 ถึงสามารถเอาชนะดัชนีแนสแด็ก 100 ที่มีแต่ตัวท๊อปรวมตัวกันได้
การเปลี่ยนกลุ่มหุ้นลงทุนของตลาดสะท้อนให้เห็นความเชื่อมั่นว่าถ้าวัคซีนและเงินกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผสานพลังเชิงบวกเข้าด้วยกัน ความต้องการในสินค้าโภคภัณฑ์และผลผลิตจากภาคอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้น นี่คือสิ่งที่ต้องจับตาดูในรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2021 ว่าจะเป็นไปตามนี้หรือไม่ เพราะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมายังแสดงให้เห็นว่าบริษัทในกลุ่มพลังงานยังเจ็บหนักจากวิกฤตโควิดอยู่
บริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่างเอ็กซอน โมบิล (NYSE:XOM) รายงานผลกำไรไตรมาสที่สี่เป็นลบซึ่งเป็นการติดลบของผลกำไรสี่ไตรมาสติดต่อกัน คิดเป็นผลกำไรทั้งปีที่หายไป $22,000 ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทคู่แข่งคนสำคัญอย่างเชฟรอน (NYSE:CVX) ก็มีสภาพไม่ต่างกันเมื่อรายงานผลประกอบการติดลบสามไตรมาสติด
มีเพียงบริษัทผู้ขายอุปกรณ์ก่อสร้างขนาดใหญ่อย่างแคเตอร์พิลลาร์ (NYSE:CAT) ที่สามารถรายงานผลกำไรไตรมาสสี่เป็นบวกได้จากอานิสงส์การลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ทำให้ความต้องการก่อสร้างเพิ่มขึ้น นับตั้งแต่ต้นปี 2021 มาจนถึงปัจจุบันหุ้นแคเตอร์พิลลาร์ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 24% มีราคาปิดล่าสุดเมื่อวานนี้อยู่ที่ $222.47
โดยสรุปแล้ว
หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังในตอนนี้ไม่มีความดึงดูดมากเท่ากับหุ้นในกลุ่มวัฐจักรแม้ว่าจะสามารถแสดงตัวเลขผลประกอบการเป็นบวกได้ในไตรมาสที่สี่ ความน่าดึงดูของหุ้นเทคฯ ลดลงตามความกังวลที่ว่าหากเศรษฐกิจกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว เงินลงทุนก็สามารถไหลเวียนไปยังหุ้นกลุ่มอื่นที่มีเปอร์เซ็นต์การเติบโตที่น่าสนใจกว่าได้