ศัตรูตัวฉกาจที่สุดสำหรับการเติบโตในตลาดหุ้นคืออัตราเงินเฟ้อซึ่งการพุ่งขึ้นไปยัง 1.39% ของบอนด์ยีลด์หรือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีในขณะที่กำลังเขียนบทความอยู่นี้เป็นสัญญาณบอกว่าอัตราเงินเฟ้อกำลังเพิ่มขึ้น
โดยปกติแล้ว การเพิ่มขึ้นของกราฟผลตอบแทนฯ จะสะท้อนให้เห็นความคาดหวังของนักลงทุนที่มีต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจซึ่งก็ตรงกับสถานการณ์ตอนนี้ที่ตลาดยังคงรอที่จะได้เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า $1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น มักจะตีความได้ว่าธนาคารกลางกำลังจะนำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกและจะส่งผลให้ความนิยมลงทุนในตลาดหุ้นลดลง
ปัจจุบันกลุ่มหุ้นที่แสดงถึงการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาได้ดีที่สุดคือหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี เมื่อพูดถึงหุ้นกลุ่มนี้ทุกคนก็ย่อมจะนึกถึงกลุ่ม “5 เทพหุ้นเทคฯ” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีอย่างเฟซบุ๊ก (NASDAQ:FB) แอปเปิล (NASDAQ:AAPL) อะเมซอน (NASDAQ:AMZN) และเติบโตได้เป็นอย่างมากท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปี 2020 ที่ผ่านมา
เหตุผลหลักๆ ที่กำลังทำให้หุ้นกลุ่ม FAANG มีมูลค่าลดลงคือการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์จนทำให้กองทุน ETF ชื่อดัง Invesco QQQ Trust (NASDAQ:QQQ) ซึ่งถือหุ้นชื่อดังบน ดัชนีแนสแด็ก 100, หลายตัวอย่างแอปเปิล เฟซบุ๊ก ไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) ทำผลงานได้ต่ำกว่าดัชนีเอสแอนด์พี 500 กองทุน QQQ ปรับตัวลดลงมากกว่า 2% เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาหลังจากวิ่งทรงตัวมานานนับเดือน
ผลกระทบจากโอกาสที่จะเกิดอัตราเงินเฟ้อและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะมาเร็วแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าผลตอบแทนฯ สามารถขึ้นได้เร็วเพียงใด นักวิเคราะห์บางคนจาก Wall Street Journal คาดการณ์ว่าภายในสิ้นปีนี้กราฟผลตอบแทนฯ อาจสามารถขึ้นไปวิ่งอยู่ระหว่าง 1.5%-2% ตอนนี้นักลงทนกำลังรอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ อยู่
ผลกระทบที่น่าเป็นห่วงที่สุด
จากความเป็นกังวลในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ นักวิเคราะห์จึงได้จำลองสถานการณ์ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นออกมาในหลายๆ เหตุการณ์ สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือความเป็นไปได้ที่อาจการซ้ำรอยประวัติศาสตร์การเงินในปี 2013 เมื่อประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ในตอนนั้นนายเบน เบอร์นันเก้่ เพียงแค่พูดว่าถึงเวลาหยุดซื้อสินทรัพย์ได้แล้วก็ทำให้กราฟผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลพุ่งขึ้นทันทีสวนทางกับตลาดหุ้นที่ร่วงลง
สำนักข่าว CNBC ได้ยกความเห็นของเซบาสเตียน กาลีย์ นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Nordea Asset Management มาเปิดเผยในตอนหนึ่งของรายการโทรทัศน์ว่า
“ความกลัวที่เกิดขึ้นมาจากนักลงทุนเหล่านี้รู้อยู่แก่ใจดีว่าตลาดหุ้นอยู่สูงเกินไปและธนาคารกลางอาจจะยกคันเร่งออกเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้ามองในแง่ดี กระแสความกังวลอัตราเงินเฟ้อก็ช่วยให้ตัวเลขยอดค้าปลีกดีดตัวขึ้นอย่างมากและยิ่งเพิ่มความคาดหวังที่มีต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า $1.9 ล้านล้านเหรีญสหรัฐ”
หากมองอีกด้านหนึ่ง ตอนนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังได้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ผู้คนเรียนรู้ที่จะเข้าสู่โลกออนไลน์ เรียนออนไลน์ ทำงานออนไลน์และหันมาทำธุรกิจ e-commerce มากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นและเชื่อว่าต่อให้โควิดจากไปแล้ว เทคโนโลยีจะไม่ไปไหน เมื่อวิเคราะห์เช่นนี้ก็ยิ่งไม่มีเหตุผลให้เฟดแตะเบรกหยุดการเติบโตของเศรษฐกิจในเวลานี้เลย
เอ็มมานูเอล เคา หัวหน้านักวางกลยุทธ์ตลาดลงทุนยุโรปของบลาเคลย์กล่าวว่าขาขึ้นของ ผลตอบแทนฯ ในช่วงเวลานี้ถือเป็นเรื่องปกติมากในช่วงเริ่มต้นของวัฐจักรการเงิน
“ถือเป็นเรื่องปกติมากที่กราฟผลตอบแทนฯ จะสามารถขึ้นได้แรงขนาดนั้นและดึงความร้อนแรงของตลาดหุ้นลดลง ทุกคนทราบดีว่าตลาดหุ้นวิ่งขึ้นมามากแล้วและถึงเวลาเปิดโอกาสให้กับสินทรัพย์อื่นบ้างเช่นสินค้าโภคภัณฑ์และหุ้นในกลุ่มวัฐจักร หากมองในแง่ดีนี่คือโอกาสที่คุณสามารถซื้อหุ้นเทคโนโลยีตัวที่ชอบเพราะเทรนด์การเติบโตทางเทคโนโลยีคงไม่จากเราไปไหน”
โดยสรุปแล้ว
ตราบใดที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยังคงปรับตัวขึ้น เราก็จะยังเห็นการเทขายหุ้นกลุ่มเคยเติบโตในช่วงโควิดต่อไป แต่อย่าลืมว่าหุ้นชื่อดังทั้งหลายที่อยู่ในตลาดไม่ได้เติบโตขึ้นมาด้วยการปั่นหุ้นของนักลงทุนเพียงอย่างเดียว หุ้นเหล่านั้นเติบโตด้วยคุณภาพและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์ หากไม่ใช่เช่นนั้นแล้วรายงานผลประกอบการที่พึ่งผ่านไปเราจะได้เห็นพาดหัวข่าวทำลายสถิติตัวเลขคาดการณ์อย่างต่อเนื่องได้อย่างไร ดังนั้นเราจึงเชื่อว่าขาลงในตอนนี้ไม่ได้กระทบต่อมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทในกลุ่ม FAANG