เมื่อช่วงเวลาแห่งการรายงานผลประกอบการของบริษัทชื่อดังส่วนใหญ่ผ่านไปแล้ว ความสนใจของนักลงทุนจึงกลับมายังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง แม้นักวิเคราะห์จะเชื่อว่าเงินก้อนนี้และรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ของบริษัทชื่อดังจะช่วยดันให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตต่อไปได้ แต่ตราบใดที่ยังไม่มีข่าวยืนยันออกมาอย่างเป็นทางการ นักลงทุนก็ไม่อาจวางใจได้
อย่างไรก็ตาม ดัชนีหลักๆ ของสหรัฐอเมริกายังสามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ดาวโจนส์ขยับขึ้น 1% มีราคาปิดอยู่ที่ 3,458.40 เอสแอนด์พี 500 ปรับขึ้นไปยัง 3,934.83 เพิ่มขึ้น 1.23% ในขณะที่ดัชนีแนสแด็กปรับตัวขึ้นมากกว่าใครเพื่อน 1.7% ขึ้นไปยัง 14,095.47 แม้ว่าบริษัทส่วนใหญ่จะรายงานผลประกอบการไปแล้ว แต่ก็ยังมีบริษัทอีกหลายแห่งที่จ่อคิวรอรายงานผลกำไรอยู่ ในบทความนี้เราจะมาดูบริษัทที่ยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูลการทำกำไรในไตรมาส 4 ที่้เชื่อว่าจะสามารถสร้างผลกระทบต่อตลาดลงทุนได้
1. Walmart
บริษัทผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา “วอลล์มาร์ท” (NYSE:WMT) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สี่ 4 ปี 2020 ในวันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ ก่อนตลาดหลักทรัพย์เปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอัตราส่วนการปันผลกำไรต่อหุ้นจะมีตัวเลขออกมาอยู่ที่ $1.51 และมีกำไรในไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ $148,260 ล้านเหรียญสหรัฐ
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคในช่วงโควิดไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อยอดขายของวอลล์มาร์ท เมื่อผู้คนไม่สามารถออกจากบ้านเพื่อไปวอลล์มาร์ทได้อย่างสะดวก วอลล์มาร์ทจึงจัดบริการส่งสินค้าไปถึงบ้านของลูกค้าทันที ก่อนหน้านี้วอลล์มาร์ทก็สามารถรายงานผลประกอบการที่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้ในไตรมาสที่สาม ยอดขายจากทั้งออฟไลน์และออนไลน์ต่างก็สามารถปรับขึ้นได้อย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะอยู่ในยุคข้าวยากหมากแพง
ดังนั้นแล้ว นักวิเคราะห์จึงเชื่อว่าวอลล์มาร์ทจะยังสามารถรักษาสถิติการรายงานผลประกอบการเป็นบวกได้อีกเช่นเคย ยิ่งหากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้รับการอนุมัติแล้ว ผู้คนก็จะกล้าจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น ยิ่งส่งผลดีต่อธุรกิจของวอลล์มาร์ทอีก ตลอดปี 2020 หุ้นวอลล์มาร์ทปรับตัวขึ้นมา 24% มีราคาล่าสุดอยู่ที่ $144.47
2. Shopify
แพลตฟอร์ม e-commerce สัญชาติแคนาดา “ช็อปพิฟาย” (NYSE:SHOP) จะรายงานผลประกอบการแบบปีบัญชีไตรมาส 3 ปี 2021 ในวันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอัตราส่วนการปันผลกำไรต่อหุ้นจะมีตัวเลขออกมาอยู่ที่ $1.26 และมีกำไรในไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ $913 ล้านเหรียญสหรัฐ
หุ้นของช็อปพิฟายซึ่งเป็นตลาดขายสินค้าออนไลน์สำหรับธุรกิจรายย่อยปรับตัวขึ้นมา 175% ภายในระยเวลา 12 เดือนล่าสุดและได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดในแคนาดาด้วยตัวเลข $117,210 ล้านเหรียญสหรัฐ ล่าสุดหุ้นของช็อปพิฟายมีราคาซื้อขายอยู่ที่ $1,455.49 ถึงกระนั้นนักลงทุนบางส่วนก็ประเมินว่าการเติบโตของผลกำไรในไตรมาสนี้อาจชะลอตัว
จุดแข็งที่สุดของแพลตฟอร์มช็อปพิฟายคือการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพท่ามกลางการเติบโตของการซื้อขายสินค้าออนไลน์จากวิกฤตโควิด-19 แพลตฟอร์มของช็อปพิฟายเรียกได้ว่าสามารถรวบขั้นตอนการซื้อขายได้ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ไล่มาตั้งแต่ระบบช่วยค้นหาสินค้าอัจฉริยะ ความปลอดภัยทางด้านฮาร์ดแวร์ ระบบเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน รูปแบบการชำระเงินที่รวดเร็วสำหรับธุรกิจในแต่ละประเภท การมีระบบที่ครบครันเช่นนี้ช่วยให้พ่อค้าแม่ขายมีเวลาในการไปลงทุนลงแรงกับธุรกิจของตัวเองได้อย่างจริงจรัง
3. Tilray
หากใครบอกว่าสงครามระหว่างนักลงทุนรายย่อยกับสถาบันได้จบลงแล้ว พวกเขาอาจคิดผิด ล่าสุดกองทัพนักลงทุนแห่งเรดดิท (Reddit’s Army) ได้ยกทัพไปปั่นหุ้นตัวหนึ่งที่ชื่อ Tilray (NASDAQ:TLRY) ซึ่งเป็นหุ้นของบริษัทผู้ผลิตกัญชารายใหญ่แห่งหนึ่ง หุ้นของ Tilray ปิดตลาดด้วยการปรับตัวร่วงลงมาจากจุดสูงสุดของสัปดาห์ที่ $65 โดยประมาณลงมาเหลือ $29
จากพฤติกรรมการวิ่งของราคา นักวิเคราะห์จากเอสทรี พาร์ทเนอร์ส (S3 Partners) จึงมองว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้ต่างอะไรจากการปั่นหุ้นของ GameStop (NYSE:GME) ภายในวันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์เพียงวันเดียว หุ้นของบริษัท Tilray ก็สามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2019 ได้ ก่อนที่จะรวงลงมามากถึง 49.7% ในวันถัดมา ปรากฎการณ์ดังกล่าวทำให้หุ้นของบริษัทผู้ผลิตกัญชาอีกแห่งอย่าง Aphria (NASDAQ:APHA) ได้รับผลกระทบไปด้วย
อนึ่ง หุ้นของ Tilray ถือเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักลงทุนที่พึ่งพาสื่อโซเชียลมีเดียเป็นหลักเนื่องจากหุ้นตัวนี้สามารถหาซื้อได้ในแอปพลิเคชันโรบินฮู้ด (Robinhood) จากการเข้ามาปั่นหุ้นของบริษัทผู้ผลิตกัญชา ทำให้เราเชื่อว่าสัปดาห์นี้ตลาดกัญชาอาจมีความเคลื่อนไหวขึ้นลงที่มีนัยสำคัญ