การเติบโตของเทคโนโลยี ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลของคนรุ่นใหม่ที่อยู่เพียงปลายนิ้วคลิกส่งผลให้เกิดนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้นมากมายในศตวรรษที่ 20 จึงไม่แปลกใจเลยที่เราจะได้เห็นดัชนีหลักของสหรัฐฯ สร้างจุดสูงสุดใหม่เป็นว่าเล่นทั้งๆ ที่เรากำลังอยู่ในวิกฤตเศรษฐกิจที่เสี่ยงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1930
นักลงทุนในยุคนี้ถูกขนานนามว่า “นักลงทุนยุคเจนซี” เป็นนักลงทุนที่มีวัยรุ่นยุคเจนซี (Gen Z) มากกว่า 50% เป็นส่วนประกอบ และก็เป็นนักลงทุนกลุ่มนี้เองที่สร้างปรากฎการณ์แจ็คผู้ฆ่ายักษ์ กล้าได้กล้าเสียลากนักลงทุนเฮจฟันด์ออกมาตบกลางสี่แยกไฟแดงจนเป็นกระแสฮือฮาไปทั่วโลก
สิ่งที่นักลงทุนเจนซีบูชามากที่สุดคงหนีไม่พ้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ในบทความนี้เราจะมาแนะนำหุ้นรุ่นใหม่มาแรงที่เชื่อว่าจะสามารถเติบโตได้และเหมาะกับการลงทุนในระยะยาว
1. Chewy
มีคำกล่าวว่าชาวอเมริกันเป็นคนที่รักสัตว์เลี้ยงมากจนเรียกได้ว่าคนอเมริกันหนึ่งคนจะต้องมีสัตว์เลี้ยงคู่ใจอย่างน้อยหนึ่งตัว ข้อมูลจากสมาคมคนรักสัตว์เลี้ยงแห่งอเมริกา (APPA) เผยว่าชาวอเมริกัน 67% มีสัตว์เลี้ยงไว้ในครอบครอง ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่บริษัทค้าปลีกอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงอย่าง Chewy (NYSE:CHWY) ที่มีผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงหลากหลาย จะกลายมาเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของเรา หุ้นของบริษัท Chewy เติบโตได้ในหมู่วัยรุ่นด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่งคือพวกเขาเชี่ยวชาญการซื้อของออนไลน์และสองคือพวกเขาก็เป็นคนรักสัตว์เลี้ยงเช่นกัน
บริษัท Chewy เปิด IPO ครั้งแรกในเดือนมิถุนายนปี 2019 ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเกือบ 290% ในช่วง 12 เดือนล่าสุด แม้ว่าโควิดจะระบาดและคนต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค แต่สำหรับสัตว์เลี้ยงนั้นพวกมันไม่สามารถเปลี่ยนไ้ด้และทำให้เจ้าของยังจำเป็นต้องซื้ออาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงอยู่ตลอดเวลา
หุ้นของ Chewy สามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $115.23 มีราคาปิดล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ $101.76 บริษัทมีมูลค่าตลาดรวมแล้วทั้งสิ้น $42,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2020 บริษัท Chewy สามารถรายงานผลประกอบการเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้ทุกไตรมาส เชื่อว่าการรายงานผลประกอบการครั้งต่อไปในวันที่ 9 มีนาคมก็จะสามารถรักษาสถิตินี้เอาไว้ได้ต่อไป
นอกจาก Chewy จะเข้าใจดีว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องซื้ออาหารให้สัตว์เลี้ยงของตัวเองแล้ว Chewy ยังรู้จักประยุกต์เทคโนโลยีให้เข้ากับกลยุทธ์การขายด้วย Chewy มีบริการส่งอาหารสัตว์เลี้ยงถึงหน้าบ้านของลูกค้าซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่คนที่รักสัตว์ นักวิเคราะห์ประเมินว่าการรายงานผลประกอบการครั้งถัดไป Chewy จะสามารถแสดงตัวเลขผลกำไรออกมาเติบโตขึ้นจาก 45% แบบปีต่อปี คิดเป็นเงิน $1,950 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นจะลดลงจาก 15 เซนต์เป็น 10 เซนต์
ในไตรมาสที่ 3 บริษัท Chewy ประกาศว่าพวกเขามียอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านคน คิดเป็นการเพิ่มขึ้นเกือบ 40% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว นักลงทุนจึงต้องการดูว่า Chewy จะยังรักษาขาขึ้นของตัวเองเอาไว้ได้หรือไม่ในการรายงานผลประกอบการครั้งนี้
2. Farfetch
แม้จะอยู่ในยุคที่ข้าวยากหมากแพงขนาดไหน แต่ถ้า “ของมันต้องมี” แล้วมันก็ต้องมีให้ได้ ถึงแฟชั่นจะถูกมองว่าเป็นของฟุ่มเฟือยมากแค่ไหน แต่ถ้าเพื่อนๆ ของเรามีแล้ว มันก็อดไม่ได้ที่จะต้องมีของชิ้นนั้นตาม นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการซื้อขายสิ้นค่าแฟชั่นอย่าง Farfetch (NYSE:FTCH) จึงสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้
ที่ Farfetch เหล่าแฟชั่นนิสต้าสามารถเข้าไปสัมผัสกับประสบการณ์ราวกับว่าเดินห้างที่มีแบรนด์ดังมาตั้งอยู่มากกว่า 1,300 แห่ง ที่สำคัญร้านเหล่านั้นยังเป็นแบรนด์ชื่อดังที่เป็นที่รู้จักกันดี ข้อมูลจากบริษัทแฟชั่นที่อยู่ใน Farfetch แห่งหนึ่งบอกว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของแพลตฟอร์มไม่เป็นคนยุคมิลเลนเนียลก็เป็นเด็กวัยรุ่นยุคเจนซี
เพราะแฟชั่นไม่เคยหยุดที่จะเติบโต แม้จะอยู่ในปี 2020 ซึ่งเป็นปีที่ GDP ของประเทศทั่วโลกติดลบ แต่หุ้น Farfetch กลับสามารถเติบโตได้มากถึงสี่เท่า หุ้นบริษัทปรับตัวขึ้นมากกว่า 516% เมื่อผู้คนไม่สามารถออกไปเดินห้างสรรพสินค้าจริงๆ ได้ จะมีที่ไหนให้พวกเขาดูแฟชั่นได้ดีเท่ากับห้างออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Farfetch เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หุ้น Farfetch มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $62.93 ปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดตลอดกาลที่ $65.54 เพียงเล็กน้อย บริษัทมีมูลค่าตลาดล่าสุดอยู่ที่ $21,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
Farfetch ยังมีแผนที่จะขยายห้างออนไลน์ของตัวเองออกไปให้ถึงเหล่าแฟชันนิสต้าทั่วโลก ล่าสุด Farfetch ได้ประกาศเป็นพาร์ทเนอร์กับแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีนอย่าง Alibaba (BABA) หาก Farfetch สามารถเข้าถึงลูกค้าของอาลีบาบา การเข้าถึงผู้บริโภคในโซนเอเชียก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับ Farfetch อีกต่อไป
ในการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน Farfetch สามารถรายงานผลกำไรที่เติบโตได้มากถึง 71% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 คิดเป็นเงิน $437.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เอาชนะตัวเลขคาดการณ์ที่ $365.5 ล้านเหรียญสหรัฐไปได้อย่างง่ายดาย
Farfetch จะรายงานผลประกอบการครั้งถัดไปในวันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ นักวิเคราะห์คาดว่าครั้งนี้ Farfetch จะสามารถรายงานผลประกอบการออกมามีตัวเลขอยู่ที่ $516.4 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นการเติบโตขึ้น 35%
3. Roku
ในยุคที่วัยรุ่นยุคเจนซีส่วนใหญ่มีความฝันอยากเป็นสตรีมเมอร์หรือยูทูบเบอร์ชื่อดัง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บริษัท Roku (NASDAQ:ROKU) ผู้ทำอุปกรณ์รองรับการสตรีมมิ่งผ่านอินเตอร์เน็ตไปยังทีวีด้วยอุปกรณ์เพียงน้อยนิดจะได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นเจนซี เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา หุ้น Roku ปรับตัวขึ้นมามากกว่าสองเท่า คิดเป็นเปอร์เซ็นต์การเติบโตตลอดทั้งปี 165% และในปี 2021 ก็ยังสามารถเติบโตขึ้นมาได้อีก 7%
หุ้น Roku มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $418.75 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา สร้างจุดสูงสุดเอาไว้ที่ $448.17 ในวันที่ 22 มกราคม ปัจจุบันบริษัท Roku มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ $55,000 ล้านเหรียญสหรัฐ การรายงานผลประกอบการในปีที่แล้ว บริษัท Roku สามารถรายงานผลประกอบการมากกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินได้ทุกไตรมาส
Roku จะรายงานผลประกอบการครั้งถัดไปในวันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่า Roku จะสามารถรายงานตัวเลขกำไรที่เติบโตได้มากถึง $613.5 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นการเติบโต 49% แบบปีต่อปี
สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสนใจกับการรายงานผลประกอบการของ Roku ในครั้งนี้คือการรายงานตัวเลขกำไรโดยเฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ (ARPU) ในไตรมาสที่สาม Roku เผยข้อมูลว่าตัวเลข ARPU แบบปีต่อปีเติบโตขึ้น 43% คิดเป็นผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น 46 ล้านคน นักวิเคราะห์ต้องการทราบว่า Roku จะยังสามารถรักษาการเติบโตของ ARPU เอาไว้ได้หรือไม่ในการรายงานผลประกอบการครั้งนี้