มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายในสัปดาห์แห่งการรายงานผลประกอบการของบริษัทยักษ์ใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่ขโมยซีนของบริษัทชั้นนำของโลกไปทั้งหมดคือเกมการเอาคืนของนักลงทุนรายย่อยในการรวมพลังกันเข้าซื้อหุ้นของบริษัทเกมสต๊อป (NYSE:GME) จนทำให้เหล่าบรรดาเฮจฟันด์ต้องขาดทุนไปอย่างมหาศาล
นี่คือสงครามระหว่างนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์ สตรีทอย่างแท้จริง ยิ่งการที่อีลอน มัสก์ CEO บริษัทเทสลา (NASDAQ:TSLA) ออกมาทวิตว่า “Gamestonk!!” ยิ่งทำให้ราคาหุ้นเกมสต๊อปดีดตัวขึ้นไปอีกอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่านักวิเคราะห์หลายฝ่ายประเมินว่าเหตุการณ์นี้จะจบลงภายในสัปดาห์นี้ แต่กลับไม่มีใครบอกได้ว่าจะจบลงเช่นไร นอกจากนี้ยังมีอีกหลายบริษัทที่จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนอย่างเราต้องจับตามอง
1. GameStop
วินาทีนี้ไม่มีนักลงทุนคนไหนไม่รู้จักชื่อของเกมสต๊อปอีกแล้ว การกระทำอันห้าวหาญของนักลงทุนรายย่อยในวันนี้จะอยู่ในบทเรียนประวัติศาสตร์การลงทุนในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สิ่งที่นักวิเคราะห์ผู้จับจ้องดูความเป็นไปของเหตุการณ์นี้ ได้ตั้งคำถามขึ้นว่า “มหากาพย์เกมสต๊อปคือสัญญาณของฟองสบู่แตกในตลาดหุ้นหรือไม่?”
หุ้นเกมสต๊อปแม้ร่วงลงในวันพฤหัสบดี แต่หลังจากการประท้วงของนักลงทุนรายย่อยเกี่ยวกับการปิดกั้นโอกาสการลงทุนของพวกเขาบนแอปพลิเคชันโรบินฮู้ด ก็ทำให้แพลตฟอร์มดังกล่าวไม่สามารถช่วยเหลือนักลงทุนวอลล์ สตรีทได้อีกต่อไป ด้วยสาเหตุนี้เอง หุ้นเกมสต๊อปจึงได้ดีดตัวกลับขึ้นมาอีกครั้งก่อนปิดตลาดวันที่ 28 มกราคม
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หุ้นเกมสต๊อปทะยานขึ้นมาภายในสัปดาห์เดียว 400% และสำหรับเดือนมกราคมทั้งเดือนนับได้ว่าหุ้นเกมสต๊อปปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งสิ้นมากกว่า 1,600% จากพลังของนักลงทุนรายย่อย หุ้นเกมสต๊อปมีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $325 มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ $22,660 ล้านเหรียญสหรัฐ
แม้จะทะยานขึ้นมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ แต่เกมสต๊อปก็ยังไม่ใช่ตัวเลือกสำหรับนักลงทุนระยะยาว จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เป็นเกมเมอร์ทำให้ตอนนี้ส่วนใหญ่หันไปซื้อเกมผ่านรูปแบบดิจิทัลกันหมดซึ่งสอดคล้องกับการทยอยปิดสาขาของบริษัทในปีที่แล้ว สำนักข่าวบลูมเบิร์กวิเคราะห์ว่าในปีนี้ กำไรของบริษัทเกมสต๊อปจะลดลงอีก 18%
2. Amazon.com
บริษัทค้าปลีกออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาอะเมซอน (NASDAQ:AMZN) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2020 ในวันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์ประเมินว่าอะเมซอนน่าจะสามารถสร้างตัวเลขกำไรได้เกินกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์อีกครั้งโดยตัวเลขยอดขายที่คาดการณ์ไว้จะออกมาที่ $119,680 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตขึ้น 37% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ถือเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ทำให้อะเมซอนสามารถเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โควิด-19 บังคับให้มนุษยชาติต้องเปลี่ยนพฤติกรรมจากโลกออฟไลน์มาสู่ออนไลน์มากขึ้น อะเมซอนซึ่งมีระบบออนไลน์รองรับอยู่แล้วจึงสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด หากยอดขายในไตรมาสที่ 4 ออกมาถล่มทลายอย่างที่คาดการณ์จริง จะยิ่งชี้ให้เห็นว่าผู้คนยังมีความต้องการอยากจับจ่ายใช้สอยในช่วงปีใหม่เพียงแต่ไม่สามารถออกบ้านได้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม อะเมซอนเคยออกมายอมรับในเดือนตุลาคมว่าการทุ่มเงินเพื่อพัฒนาระบบการจัดการและรั้งพนักงานไว้ไม่ให้ตกงานในช่วงโควิด-19 อาจส่งผลกระทบต่อกำไรที่จะได้จากการถือหุ้น ล่าสุดหุ้นอะเมซอนมีราคาซื้อขายอยู่ที่ $3,204.40 แทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวขึ้นหรือลงที่มีนัยสำคัญ
3. Alphabet
บริษัทแม่ของกูเกิลนามอัลฟาเบต (NASDAQ:GOOGL) จะรายงานผลประกอบการในวันและเวลาเดียวกันกับอะเมซอน นักวิเคราะห์ประเมินว่าตัวเลขอัตราส่วนกำไรต่อหุ้นจะมีตัวเลขอยู่ที่ $15.7 ส่วนกำไรในไตรมาสนี้จะออกมาที่ $52,890 ล้านเหรียญสหรัฐ
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้นักวิเคราะห์มองว่ากูเกิลอาจได้รับผลกระทบเพราะบริษัทที่ฝากโฆษณากับกูเกิลต่างก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาด อย่างไรก็ตามกูเกิลกลับสามารถรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามเป็นบวกได้และกำไรที่ได้จากการฝากโฆษณากลับเติบโตขึ้นมากกว่าที่เหล่านักวิเคราะห์ประเมินไปมาก
ล่าสุดหุ้นของบริษัทกูเกิลมีราคาอยู่ที่ $1,827.36 ปรับตัวขึ้นประมาณ 25% ในช่วงสิบสองเดือนล่าสุด ที่ผ่านมากูเกิลพยายามกระจายความเสี่ยงของตัวเองออกจากกำไรที่ได้จากการฝากโฆษณาเพียงอย่างเดียว กูเกิลได้ลงทุนอย่างหนักกับการพัฒนาบริการคลาวด์ สื่อวิดีโอดิจิทัล ที่น่าสนใจก็คือกูเกิลยังได้ลองลงทุนระยะยาวกับการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับด้วย
ถึงกระนั้น หุ้นกูเกิลก็ยังมีความเสี่ยงที่จะร่วงลงมาเมื่อไหร่ก็ตามที่มีข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีผูกขาดทางการค้าที่ฟ้องโดยกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา