พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของนายโจ ไบเดนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีความรุนแรงอะไร ดัชนีเอสแอนด์พี 500และแนสแด็กขานรับประธานาธิบดีคนใหม่และทีมงานด้วยการขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ การเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นนี้ทำให้นักลงทุนเปลี่ยนความสนใจมาที่แผนฟื้นฟูอเมริกา 100 วันของโจ ไบเดนซึ่งในแผนนี้จะรวมถึงการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเร่งความเร็วในการกระจายวัคซีนต้านโควิด-19 ด้วยความหวังนี้จึงทำให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ยกเว้นแต่สกุลเงินยูโรและสวิตฟรังก์เพราะตลาดเชื่อว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่จะทำให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนมูลค่าลง
สาเหตุที่สกุลเงินยูโรและสวิตฟรังก์ไม่แข็งค่าเหมือนสกุลเงินอื่นๆ เป็นเพราะนักลงทุนกังวลว่าการประชุมของธนาคารกลางแห่งสหภาพยุโรป (ECB) อาจพูดถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมซึ่งจะทำให้สกุลเงินทั้งสองอ่อนค่า แต่ไม่มีใครเลยที่มองว่า ECB อาจเพิ่มวงเงินในการซื้อสินทรัพย์อย่างที่เคยทำมาแล้วในเดือนธันวาคม การประชุมครั้งสุดท้ายของ ECB ได้ข้อสรุปว่าธนาคารกลางฯ จะเพิ่มวงเงินการซื้อสินทรัพย์คิดเป็นมูลค่า $500,000 ล้านเหรียญสหรัฐและขยายระยะเวลาการซื้อบอนด์ออกไปถึงเดือนมีนาคมปี 2022
เป็นที่ทราบกันดีว่าตอนนี้ยูโรโซนถูกไวรัสโควิด-19 เข้าโจมตีจนต้องทำให้หลายๆ ประเทศต้องล็อกดาวน์มาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึงปัจจุบัน ที่น่าสนใจก็คือข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจกลับไม่ได้ออกมาแย่อย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ ตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ตัวเลขความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจโดยศูนย์วิจัยเศรษฐกิจยุโรป (ZEW) และดัชนี PMI ในภาคส่วนต่างๆ ยังทรงตัว อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ สังเกตได้จากตัวเลขของ HICP ในเดือนธันวาคมแบบปีต่อปีที่ลดลงเป็น -0.3% ผู้บริโภค นักธุรกิจและนักลงทุนต่างก็หวังว่าการกระจายวัคซีนจะช่วยให้ตัวเลขเหล่านี้ออกมาดีขึ้น
สิ่งที่พูดไปทั้งหมดก่อนหน้านี้จะอยู่ในที่ประชุมของ ECB ที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ เชื่อว่า ECB จะยังคงอัตราดอกเบี้ยและวงเงินการซื้อสินทรัพย์เอาไว้ดังเดิม แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องพูดถึงผลกระทบจากการล็อกดาวน์และให้ความหวังทางเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นหลังการฟื้นตัว คำถามสำคัญก็คือประธาน ECB นางสาวคริสตีน ลาการ์ดจะผ่อนคลายนโยบายการเงินกับยูโรหรือไม่ สัปดาห์ที่แล้วเธอยังคงย้ำว่า “ECB จะจับตาดูสถานการณ์ทางการเงินอย่างใกล้ชิด แต่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องขึ้นไปถึงเท่าไหร่” แต่ก็มีนักวิเคราะห์ฺบางคนแย้งว่าเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับไบเดนแล้ว ECB จะไม่ยอมให้สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงไปมากกว่านี้ จริงอยู่ว่าการแข็งค่าของยูโรถือเป็นปัญหา แต่ในขณะเดียวกันการแข็งค่าก็ทำให้ ECB ยังสามารถซื้อสินทรัพย์เพิ่มได้หากจำเป็น เพราะการที่สกุลเงินอ่อนค่าลงจะหมายถึงความต้องการสกุลเงินนั้นๆ ก็จะลดลงตาม
สกุลเงินที่แข็งค่ามากที่สุดเมื่อวานนี้คือดอลลาร์แคนาดาแม้ว่าอัตราการเติบโตของราคาผู้บริโภคในเดือนธันวาคมจะชะลอตัว ธนาคารกลางแคนาดา (BoC) มองข้ามเรื่องผลกระทบจากโควิด-19 ไปที่ประเด็นว่าจะฟื้นตัวจากโควิดอย่างไร BoC กล่าวว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจถือเป็นเรื่องจริงจังมากกว่าการมัวกังวลว่าการระบาดจะกระทบกับเศรษฐกิจแคนาดาอย่างไรบ้าง หากคิดเช่นนั้นก็อาจชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 1 นี้ไปด้วย นอกจากนี้ BoC ยังประเมินว่าภาพรวมการฟื้นตัวในระยะสั้นแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าตอนที่เคยประเมินในเดือนตุลาคม ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการมีวัคซีนต้านโควิด-19 แล้ว
ภาพรวมเชิงบวกนี้ทำให้่สกุลเงินดอลลาร์แคนาดากลายเป็นผู้ที่แข็งค่ามากที่สุดเมื่อคืนนี้เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นการแข็งค่ามากที่สุดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2018 ตามมาด้วยสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียและดอลลาร์นิวซีแลนด์ที่แข็งค่าก่อนการรายงานตัวเลขในตลาดแรงงานของออสเตรเลีย ส่วนสกุลเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเพราะอัตราเงินเฟ้อของประเทศที่สูงขึ้น