- P&G จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ในวันพุธที่ 20 มกราคมก่อนตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิด
- คาดการณ์ตัวเลขผลประกอบการ: $19,180 ล้านเหรียญสหรัฐ
- คาดการณ์ตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น: $1.5
บริษัทค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคในตำนานของสหรัฐอเมริกา “พร็อกเตอร์แอนด์แกมเบิล” (NYSE:PG) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “พีแอนด์จี” คือหนึ่งในบริษัทที่สามารถเอาตัวรอดจากวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 มาได้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาอยู่บ้านมากขึ้น รักษาความสะอาดมากขึ้น ทำให้ยอดขายของพีแอนด์จีเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจนกลายเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับบริษัทครั้งหนึ่งในรอบหลายปี
สิ่งที่นักลงทุนอยากเห็นมากที่สุดในการรายงานผลประกอบการครั้งนี้คือพีแอนด์จีจะยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตของผลกำไรนี้เอาไว้ได้หรือไม่ท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบที่สอง บริษัทพีแอนด์จีได้มีการคาดการณ์อัตราการเติบโตของบริษัทตัวเองในไตรมาสนี้เอาไว้ว่าจะสามารถเติบโตได้อีก 5% มีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นจาก $1.42 ในปี 2019 ขึ้นเป็น $1.5 ภายในช่วงเวลาเดียวกัน
ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคในยามยากส่งให้หุ้นของพีแอนด์จีดีดตัวกลับขึ้นมาจากจุดต่ำสุดเดือนมีนาคมปี 2020 ได้อย่างรวดเร็ว นักลงทุนที่ขาดสภาพคล่องแต่ได้ถือหุ้นของพีแอนด์จีเอาไว้ก็สามารถชดเชยกำไรที่หายไปจาขาขึ้นของหุ้นพีแอนด์จีในฐานะหุ้นที่มีความปลอดภัยสูง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงสามเดือนล่าสุดพบว่าหุ้นพีแอนด์จีได้ปรับตัวลดลงมาจากจุดสูงสุดประมาณ 6% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $134.78 ขึ้นมาจากจุดต่ำสุดเดือนมีนาคมจนถึงปัจจุบันรวมแล้วทั้งสิ้น 44% แม้ว่าพีแอนด์จีจะพยายามนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มยอดขายและเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรให้มีความทันสมัยมากขึ้นมาตลอดสามปีที่ผ่านมา
มูลค่าของหุ้นพีแอนด์จีสูงเกินไปหรือไม่
เมื่อใดก็ตามที่มีหุ้นซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในยามวิกฤต คำถามสำคัญที่บริษัทเหล่านั้นมักจะถูกถามเป็นประจำคือ “ความรุ่งโรจน์นี้จะสามารถคงอยู่ไปได้นานแค่ไหน?” แน่นอนว่าหุ้นพีแอนด์จีก็ไม่รอดที่จะถูกตั้งคำถามนี้
ความกังวลดังกล่าวทำให้หุ้นพีแอนด์จีถูกตั้งคำถามว่ามูลค่าซื้อขายหุ้นในระดับปัจจุบันอยู่สูงเกินไปหรือไม่ และในปี 2021 นี้หุ้นพีแอนด์จีจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ในระดับเดียวกันหรือใกล้เคียงกับปีที่แล้วได้หรือไม่ อ้างอิงข้อมูลจาก FactSet ระบุว่าหุ้นพีแอนด์จีตอนนี้มีตัวเลขการปันผลตอบแทนล่วงหน้าสูงถึง 26 เท่า มากกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปีซึ่งมีตัวเลขอยู่ที่ 19.3 เท่า
โจน โมเลอร์ CEO ของพีแอนด์จีเชื่อว่าพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปเพราะวิกฤตโควิด-19 ได้ทำให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าวิกฤตโควิด-19 จะจบลงเช่นไร พฤติกรรมที่ได้เปลี่ยนเป็นนิสัยแล้วไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ไขได้โดยง่าย จุดนี้เองที่จะทำให้บริษัทพีแอนด์จีได้กำไรในระยะยาวนับจากนี้เป็นต้นไป
“พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ได้เกิดขึ้นแล้วจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อให้โควิดจะจบลง ผมก็ไม่เชื่อว่ามนุษย์เราจะเปลี่ยนพฤติกรรมกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ง่ายนัก”
อีกหนึ่งปัจจัยเชิงบวกที่น่าจับตาสำหรับหุ้นพีแอนด์จีคือบางภาคส่วนที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถทำกำไรได้ดีมากนักก็สามารถกลับมามียอดขายที่ดีได้อย่างน่าประหลาดใจ ยกตัวอย่างเช่นที่โกนหนวดของบริษัทจีลเล็ต (Gillette) ข้อมูลจากไตรมาสที่ 3 ระบุว่ายอดขายของสินค้าพวกนี้ไม่เคยเพิ่มขึ้นเลยนับตั้งแต่ปี 2016 อธิบายได้ชัดเจนว่ามีผู้ชายบางประเภทที่ไม่สามารถทนให้ตัวเองมีหนวดยาวเฟิ้มออกมาได้
โดยสรุปแล้ว
หากเทียบกับบริษัทที่ทำกำไรจากสินค้าอุปโภคบริโภคด้วยกันแล้ว การเติบโตของพีแอนด์จีถือว่าโดดเด่นจากคู่แข่งเป็นอย่างมาก ในขณะที่บริษัทอื่นๆ กำลังเฟ้นหากลยุทธ์ที่จะทำให้ตัวเองอยู่รอดให้นานที่สุด แต่พีแอนด์จีสามารถอาศัยชื่อเสียงที่มีมาอย่างยาวนานในการรักษาฐานลูกค้าเดิม ในขณะเดียวกันก็ใช้เทคโนโลยีในการเข้าถึงลูกค้าผู้บริโภคเจนใหม่
แม้ว่าเราจะไม่สามารถคาดหวังให้พีแอนด์จีสามารถรายงานกำไรเติบโตได้ในทุกไตรมาส แต่เมื่อมองในมิติอื่นอย่างเช่นการปันผลกำไรต่อหุ้นในไตรมาสละ $0.79 และปันผลกำไรต่อปีที่ 2.3% นั่นจึงทำให้เราเชื่อว่าการเลือกหุ้นพีแอนด์จีไว้ในพอร์ตปีแห่งความไม่แน่นอนนี้ยังเป็นสิ่งที่นักลงทุนสมควรทำ