หากคิดว่าฝันร้ายปี 2020 ของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันได้จบลงแล้วละก็...ที่จริงแล้วอาจคิดผิด ล่าสุดบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกาเอ็กซอน โมบิล (NYSE:XOM) หรือที่รู้จักกันในประเทศไทยว่า “เอสโซ่ (Esso)” ได้ออกมาประกาศว่ารายงานผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดอาจกลายเป็นสถิติประกาศตัวเลขติดลบสี่ไตรมาสติดต่อกัน
จากสภาวะราคาน้ำมันตกต่ำในปีที่แล้วทำให้บริษัทเอ็กซอน โมบิลประสบปัญหาในการบริหารกระแสเงินสดที่มีในมือเป็นอย่างมากจนทำให้บริษัทจำเป็นต้องตัดงบในส่วนที่ไม่จำเป็นออกหลายรายการ ในการประกาศครั้งล่าสุดนั้น เอ็กซอน โมบิลถึงกับบอกว่าจำเป็นต้องรัดเข็มขัดในงบประมาณที่จะนำไปลงทุนกับการหาแหล่งผลิตน้ำมันใหม่ๆ ลงเหลือ $25,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อไปยาวไปจนถึงปี 2025 และยังต้องลดงบการเสาะหาแห่งผลิตก๊าซธรรมชาติในภูมิภาคอเมริกาเหนือและใต้ลงเหลือ $20,000 ล้านเหรียญสหรัฐด้วยเช่นกัน
สิ่งหนึ่งที่เอ็กซอน โมบิลทำได้ดีในช่วงวิกฤตที่ผ่านมาคือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บริษัทจะไม่ยอมลดเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นลงในขณะที่บริษัทอื่นเลือกการลดอัตราเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นลงเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ อย่างไรก็ตามปี 2021 ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นภาคต่อของปี 2020 และสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ ตลาดจึงเริ่มเป็นกังวลว่าเอ็กซอน โมบิลจะสามารถทนไม่ยอมลดหรือตัดเงินปันผลไปได้อีกนานแค่ไหน
วิธีการแก้ปัญหาที่เอ็กซอน โมบิลเลือกทำก็คือการกู้ยืม ตลอดช่วงระยะเวลาที่ต้องผ่านวิกฤตโควิด เอ็กซอน โมบิลได้กู้ยืมเงินมาเป็นจำนวนมากเพื่อนำมาจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุน ครั้งสุดท้ายที่เอ็กซอน โมบิลสามารถทำกำไรได้มากพอจนมีกระแสเงินสดมาจ่ายเงินปันผลได้โดยไม่ต้องกู้ต้องย้อนกลับไปถึงไตรมาสที่ 3 ปี 2018 ด้วยสาเหตุนี้ทำให้หุ้นบริษัทได้รับแรงกดดันมาตลอดและมาทรุดในปี 2020 จากวิกฤตโควิด
ในช่วง 12 เดือนล่าสุด หุ้นเอ็กซอน โมบิลร่วงลงมากกว่า 42% มีเปอร์เซ็นต์การปันผลอยู่ที่ 8% การรายงานผลประกอบการที่ติดลบในไตรมาสแรกส่งผลให้หุ้นเอ็กซอน โมบิลถูกเชิญออกจากดัชนีดาวโจนส์ที่สังกัดอยู่มายาวนานเกิน 50 ปี
ปี 2021 อาจจะยังไม่ใช่แสงสว่างที่ปลายอุโมค์
รายงานล่าสุดจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่เปิดเผยข้อความของบริษัท ดีอี ชอว์ ซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนชื่อดังที่มีส่วนวางกลยุทธ์การเงินให้กับเอ็กซอน โมบิลระบุว่า ดีอี ชอว์ เรียกร้องให้เอ็กซอน โมบิลลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงอีกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไรและรักษาความสามารถในการคืนเงินปันผลเอาไว้ ในจดหมายดังกล่าวยังระบุว่าสถานการณ์ตอนนี้เรากำลังเสียเปรียบคู่แข่งคนสำคัญอย่างเชฟรอน (NYSE:CVX) และอาจพาบริษัทเข้าสู่สภาวะเสี่ยงในเรื่องที่ไม่ควรจะเสี่ยงมากขึ้น
ดีอี ชอว์ ได้อธิบายออกมาเป็นชุดๆ ว่าในช่วงห้าปีที่ผ่านมาเอ็กซอน โมบิลกำลังเสียเงินรวมแล้วประมาณ $100,000 ล้านเหรียญสหรัฐเพราะไม่สามารถปรับตัวได้ซึ่งเงินส่วนนี้คือส่วนที่ผู้ถือหุ้นควรจะได้รับ นอกจากนี้เอ็กซอนควรจะลดงบการหาแหล่งพลังงานใหม่ลง $23,000 ล้านเหรียญสหรัฐตามแผน ไม่ใช่ลดเพียง $13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงการลดงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการลงให้ได้เกิน $5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ปัจจุบันเอ็กซอน โมบิลสามารถจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสอยู่ที่ $0.87 เติบโตขึ้น 5% ในช่วงห้าปีล่าสุด ที่สำคัญบริษัทยังใช้เงินประมาณ $15,000 ต่อปีไปกับการจ่ายเงินปันผล นั่นทำให้เอ็กซอน โมบิลเป็นหุ้นยอดนิยมตัวหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำให้ถือเอาไว้ไม่ว่าในสถานการณ์แบบใดก็ตาม หัวใจหลักของการเลือกหุ้นในกลุ่มเน้นการป้องกันคือความสามารถในการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง แต่เพราะหุ้นของเอ็กซอน โมบิลผูกติดอยู่กับราคาน้ำมันดิบและความต้องการน้ำมัน ดังนั้นหากสถานการณ์ตลาดน้ำมันยังไม่ฟื้นตัว เอ็กซอน โมบิลก็ต้องทนแบกภาระเงินปันผลนี้ไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่กำไรที่ได้มายังไม่มากพอที่จะยืนได้ด้วยตัวเอง
ดาร์เรน วูดส์ CEO ของเอ็กซอน โมบิล เขียนถึงสถานการณ์ล่าสุดของบริษัทว่า
“เป็นความจริงที่บริษัทได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากวิกฤตโรคระบาด แต่การค้นพบแหล่งพลังงานใหม่และการลดต้นทุนในการพัฒนาบางส่วนจะสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าในการลงทุนกับบริษัทของเราได้ ที่ผ่านมาการให้คุณค่ากับคุณภาพการผลิตน้ำมันที่ดีที่สุดคือหัวใจหลักของเอ็กซอน โมบิลมาโดยตลอด เราเชื่อว่าการรักษาไว้ซึ่งคุณภาพนั้นจะนำไปสู่ตัวเลขผลประกอบการ การเสริมสภาพคล่องและดุลบัญชีงบประมาณที่ดีขึ้นเมื่อวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ผ่านพ้นไป”
โดยสรุปแล้ว
ในมุมมองส่วนตัวของ investing.com การลงทุนในหุ้นเอ็กซอนตอนนี้ถือเป็นความเสี่ยงเมื่อเทียบกับบริษัทผู้ผลิตน้ำมันอื่นๆ สาเหตุหลักเป็นเพราะความไม่แน่นอนในการรักษาความสามารถในการมอบเงินปันผลมีเพิ่มสูงขึ้น นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการถือหุ้นตัวนี้ตราบใดที่สถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบโลกยังไม่กลับเข้าสู่สภาวะปกติ