ปี 2020 ที่ผ่านมาถือได้ว่าเป็นปีหนึ่งที่นักลงทุนของอินเทล (NASDAQ:INTC) บริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกาไม่รู้สึกภูมิใจเท่าไหร่นัก แม้ว่าปีที่แล้วการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะมีมากจนพาดัชนีแนสแด็กปรับตัวขึ้นได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับดัชนีหลักอื่นๆ แต่ในแง่ของบริษัทผู้ผลิตชิปฯ กลายเป็นว่าอินเทลถูกแย่งความสนใจไปจากบริษัทคู่แข่งอื่นๆ ที่มีอัตราการเติบโตที่น่าสนใจกว่าอย่างเช่นเอเอ็มดี (NASDAQ:AMD) เอ็นวีเดีย (NASDAQ:NVDA)และทีเอสเอ็ม (NYSE:TSM) บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์จากไต้หวัน นักวิเคราะห์บางคนมองว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะกลยุทธ์การตลาดที่ล้าหลังเกินกว่า 50 ปีไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันอีกต่อไป
ไม่ใช่ว่านักลงทุนของอินเทลจะไม่รู้เรื่องนี้ ที่ผ่านมาพวกเขาพยายามรวมกันกระตุ้นและกดดันอินเทลมาโดยตลอดในการหากลยุทธ์การตลาดอื่นเพื่อฟื้นอัตราการเติบโตให้กับหุ้นบริษัท แต่ด้วยการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้บริษัทมีข้ออ้างที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน สำนักข่าวบลูมเบิร์กได้รายงานฉบับหนึ่งที่เขียนถึงบอร์ดบริหารของอินเทลซึ่งใจความของจดหมายฉบับนั้นเผยว่า
“เราไม่เข้าใจว่าบอร์ดบริหารของอินเทลสามารถปล่อยให้การเติบโตอย่างเชื่องช้าเช่นนี้เกิดขึ้นได้ ที่น่าตลกกว่านั้นคือบริษัทกลับยินดีที่จะจ่ายเงินเดือนให้กับบุคลากรเหล่านี้ที่ไม่ทำอะไรเพื่อแสดงให้เห็นว่าบริษัทต้องการที่จะเติบโตไปในโลกที่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้นำแห่งวงการได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้”
เราไม่ประหลาดใจเลยที่ได้เห็นความโกรธเกรี้ยวของผู้ถือหุ้นในจดหมายฉบับนี้เพราะราคาหุ้นของอินเทลในปีที่แล้วสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ในขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้ชื่อว่าเติบโตมากที่สุดจากวิกฤตโควิด-19 แต่การเติบโตในรอบ 12 เดือนล่าสุดของหุ้นอินเทลกลับปรับตัวลดลงประมาณ 17% ในขณะที่หุ้นบริษัทอื่นๆ อย่างเอเอ็มดีหรือเอ็นวีเดียเติบโตขึ้นมากกว่าสองเท่า
กลยุทธ์ทางเลือกอื่นของอินเทล
ในจดหมายฉบับนั้น ผู้เขียนยังได้แนะนำอินเทลด้วยว่าควรจะจ้างธนาคารเพื่อการลงทุนสักแห่งมาประเมินกลยุทธ์ทางเลือกให้กับบริษัทและให้ผู้เชี่ยวชาญนั้นประเมินว่าบริษัทควรควบรวมบริษัทที่มีความสามารถในการพัฒนาชิปคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบันดีหรือไม่ นอกจากนี้เขายังแนะนำว่าอินเทลควรที่จะผลิตสินค้าที่เน้นให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ารายใหญ่อย่างเช่นอะเมซอน (NASDAQ:AMZN) หรือแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) ที่ปีที่แล้วตัดสินใจทิ้งอินเทลและหันไปพัฒนาชิปคอมพิวเตอร์ของตัวเอง
นักลงทุนระยะยาวที่สนใจจะซื้อหุ้นอินเทลในตอนนี้เพราะเห็นว่าถูกควรจะพิจารณาคำถามข้อหนึ่งให้ดีว่า “ปีนี้จะเป็นปีที่ดีขึ้นหรือแย่ลงกว่าเดิมสำหรับอินเทล?” สำนักข่าวรอยเตอร์มีรายงานว่านายบ็อบ สแวน CEO ของอินเทลทราบดีถึงความท้าทายที่จะเกิดขึ้นในปี 2021 และเขาก็ต้องการให้ทีมงานสามารถออกแบบชิปคอมพิวเตอร์ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่านี้ ที่สำคัญอินเทลจะมีการประกาศผลการตัดสินใจว่าจะจ้างทีมผู้พัฒนาจากนอกบริษัท (outsource) มาช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่คาดว่าจะวางขายในปี 2023 หรือไม่ในเดือนนี้
อันที่จริงในไตรมาสที่ผ่านมา อินเทลก็มีความเคลื่อนไหวแล้ว พวกเขาทราบดีว่าผลิตภัณฑ์ที่มีตอนนี้ไม่สามารถสู้คู่แข่งได้ ดังนั้นบริษัทจึงได้ประกาศขายบริษัทผู้ผลิตชิปฯ สัญชาติเกาหลีใต้นาม “เอสเค ไฮนิกส์” ออกไปในมูลค่า $9,000 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน ปี 2020 ถือเป็นปีที่ความต้องการชิปคอมพิวเตอร์เพื่อทำศูนย์กลางข้อมูลเติบโตขึ้นเป็นอย่างมากซึ่งสะท้อนออกมาผ่านรายงานผลประกอบการที่ยังสามารถปิดเป็นบวกได้ในสามไตรมาสล่าสุด แต่หากอินเทลยังไม่ตัดสินใจเดินหน้าอย่างจริงจัง ปีนี้ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่ได้สวยงามเหมือนปีที่แล้วก็เป็นได้
โดยสรุปแล้ว
นักวิเคราะห์บางคนอาจจะมองหุ้นอินเทลด้วยมุมมองที่มีอคติมากเกินไป ในความเห็นของเราแล้วอินเทลมีช่วงเวลาที่ยากลำบากก็จริง แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ของบริษัท เราเชื่อว่าอินเทลจะยังไม่สามารถถูกแทนที่ได้ง่ายๆ การตำหนิตรงๆ ของนักลงทุนมีแต่จะทำให้อินเทลรู้ว่าจุดใดควรแก้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเองเให้พร้อมรับมือกับอนาคตในปี 2021 นี้