ตลอดทั้งปี 2020 ที่ผ่านมาหุ้นของอาณาจักรมิกกี้เมาส์วอล์ท ดิสนีย์ (NYSE:DIS) ได้แสดงให้นักลงทุนเห็นแล้วว่าคุ้มค่าที่จะลงทุนเพื่อรอวันเติบโต ในวันศุกร๋ที่ 11 ธันวาคมหุ้นของดิสนีย์ทะยานขึ้นมากกว่า 13% มีราคาปิดอยู่ที่ $175.72 นี่คือผลงานขาขึ้นที่โดดเด่นในเวลาที่ธุรกิจส่วนใหญ่อย่างเช่นสวนสนุก โรงภาพยนตร์และรีสอร์ทของดิสนีย์ไม่สามารถทำกำไรได้ตามปกติ
ขาขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาส่งผลให้ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นดีสนีย์ได้วิ่งขึ้นมาแล้วมากกว่า 21% เอาชนะดัชนี S&P 500 ที่ปรับตัวขึ้นในช่วงเวลาเดียว 13% ได้ มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $169.30 ย่อตัวลดลงมา 3.65% เมื่อวานนี้
การทะยานกลับขึ้นมาจากก้นเหวได้ของหุ้นดิสนีย์ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดที่นับวันยิ่งดูเลวร้ายลงทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า “ดิสนีย์มีดีอะไรจึงสามารถดึงดูดนักลงทุนได้ทั้งที่ธุรกิจหลักยังอยู่ในสภาพเปิดๆ ปิดๆ อยู่?”
คำตอบแรกที่สามารถตอบได้ทันทีเลยคือความแข็งแกร่งของแบรนด์ดิสนีย์ที่ไม่มีใครไม่รู้จัก คำตอบที่สองคือดิสนีย์ใช้เทคนิคการกระจายความเสี่ยง ในช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวไม่สามารถพาลูกหลานของตนไปยังดินแดนแห่งความฝันหรือรับชมภาพยนตร์โลกการ์ตูนได้ ดิสนีย์ก็ได้แก้เกมด้วยการเปิดตัวธุรกิจภาพยนตร์สตรีมมิ่งนาม “ดิสนียพลัส (Disney+)” ที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่านี่คืออนาคตของวงการบันเทิง
การเปิดตัวภาพยนตร์ชื่อดังมากมายเมื่อสัปดาห์ที่แล้วของดิสนีย์เรียกความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ดิสนีย์ยังบอกกับนักลงทุนถึงแผนที่จะสร้างภาพยนตร์ รายการทีวีโชว์และภาพยนตร์ใหม่คิดเป็นวงเงินมากถึง $16,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2024 และ 80% ของภาพยนตร์จากดีสนีย์นับจากนี้จะถูกบรรจุขึ้นไปอยู่บนดิสนีย์พลัส
ในช่วงไม่กี่ปีนับจากนี้ ดิสนีย์พลัสจะมีซีรีส์ที่เป็นภาคขยายจักรวาลของหนังชื่อดังหลายเรื่องเช่นสตาร์ วอร์ (Star Wars) จักรวาลมาร์เวล (Marvel) รวมกันมากกว่า 20 เรื่อง นอกจากนี้ยังมีหนังไลฟ์อนิเมชันมากกว่าอีก 15 เรื่องที่เรียกได้ว่าจ่อรอคิวเสริฟ์ความสุขที่อัดอั้นมานานหลังจากวิกฤตโควิดจบลง
ภายใน 4 ปี ดิสนีย์พลัสจะมียอดสมาชิกเกิน 260 ล้านคน
ดีสนีย์ตั้งใจจะใช้กลยุทธ์ต่อยอดขยายจักรวาลของภาพยนตร์ในดวงใจผู้คนในการเพิ่มยอดผู้สมัครสมาชิกดิสนีย์พลัสให้เพิ่มขึ้นเป็น 230-260 ล้านคนทั่วโลกภายในปี 2024 และจะเพิ่มค่าบริการรายเดือนขึ้นจาก $1 เป็น $7.99 เหรียญต่อเดือน
นักลงทุนชอบการจัดเต็มของดิสนีย์ในครั้งนี้มาก เพราะนี่ไม่ต่างอะไรกับการชักธงรบกับคู่แข่งคนสำคัญอย่างเน็ตฟลิกซ์ (NASDAQ:NFLX) ที่ตอนนี้เรียกได้ว่ายังกินส่วนแบ่งในตลาดภาพยนตร์สตรีมมิ่งมากกว่าเพราะเป็นเจ้าเดียวที่ขยายตลาดออกสู่สากลได้
ธนาคารชื่อดังมอร์แกน สแตนลีย์ประเมินความเป็นไปได้ของแผนการครั้งนี้เอาไว้ว่าหากดิสนีย์สามารถทำได้สำเร็จตามเป้าจริง ภายในปี 2024 ดิสนีย์จะมียอดสมาชิกมากถึง 300 ล้านคนและจะมีเงินประมาณ $35,000 ล้านเหรียญสหรัฐวนอยู่ในดิสนีย์พลัสซึ่งจะส่งผลให้ดิสนีย์พลัสกลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่สุดในวงการภาพยนตร์สตรีมมิ่ง
Lauren Martin นักวิเคราะห์จาก Needham แสดงความเห็นอย่างมั่นใจว่าตอนนี้ดิสนีย์สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่ในวงการภาพยนตร์สตรีมมิ่งแทนเน็ตฟลิกซ์ได้แล้ว
“ต่อให้ตั้งสมมุติฐานขึ้นมาเลยว่าหนังของเน็ตฟลิกซ์มีคุณภาพมากกว่าดิสนีย์ แต่หากพิจารณาในมุมมองของการทำธุรกิจแล้วดิสนีย์ยังไงก็ยังเป็นยักษ์ใหญ่ที่ได้เปรียบกว่าทั้งในแง่ของการตลาดและเทคโนโลยีในการทำภาพยนตร์ จุดอ่อนเดียวที่เน็ตฟลิกซ์มีและถือเป็นจุดอ่อนที่สำคัญมากคือการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ เน็ตฟลิกซ์ไม่มีธุรกิจอื่นในมือเลยนอกจากการทำภาพยนตร์สตรีมมิ่ง หมายความว่าวันใดที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น พวกเขาก็พร้อมที่จะเปลี่ยนไปหาสตรีมมิ่งเจ้าอื่นได้ไม่ยาก ยิ่งไปกว่านั้นการตั้งราคาของค่าสมาชิกของดิสนีย์พลัสในตอนนี้ก็ถูกกว่าเน็ตฟลิกซ์ แล้วผู้บริโภคจะเสียเงินมากกว่าเพื่อได้หนังที่น้อยกว่าไปทำไมในเมื่อดิสนีย์พลัสมีหนังแทบทุกประเภทและทุกเพศทุกวัยให้สามารถรับชมได้”
โกลด์แมน แซคส์ได้ปรับราคาเป้าหมายของหุ้นดิสนีย์ขึ้นจาก $157 ขึ้นเป็น $200 โดยให้เหตุผลว่า
“เราเห็นภาพความสามารถในการทำกำไรของดิสนีย์ที่สูงขึ้น การปรับราคาเป้าหมายของหุ้นดิสนีย์ขึ้่นสะท้อนการคาดการณ์ในระยะยาวของเราว่าดิสนีย์จะมียอดผู้สมัครสมาชิกและกำไรเพิ่มขึ้นแน่นอนภายในไม่กี่ปีนับจากนี้ การสร้างดิสนีย์พลัสขึ้นมาก่อนโควิดถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว”
โดยสรุปแล้ว
แม้ว่าธุรกิจหลักของดิสนีย์จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 แต่นักลงทุนก็มีความเชื่อมั่นว่ากำไรของดิสนีย์จะกลับมาเติบโตอย่างรวดเร็วตามการเติบโตของดิสนีย์พลัส ปัจจัยสนับสนุนเชิงบวกนี้จึงทำให้หลายสำนักพร้อมใจกับปรับราคาเป้าหมายของหุ้นดิสนีย์ขึ้น