หากไม่นับว่าวันนี้คือวันสุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน ตอนนี้เราได้เดินทางมาถึงเดือนสุดท้ายของปี 2020 กันแล้ว แม้จะเหนื่อยยากกันมาตลอดทั้งปี แต่ข่าวดีของวัคซีนต้านโควิดที่ทยอยออกมาเรื่อยๆ ประกอบกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจช่วยให้เดือนพฤศจิกายนที่กำลังจะผ่านไปกลายเป็นอีกหนึ่งเดือนที่ดีของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ในการปิดตลาดลงทุนเมื่อวันศุกร์แบล็คฟรายเดย์ที่แล้วทำให้ดัชนีดาวโจนส์ มีราคาปิดปรับขึ้นตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายน 13% หากว่าวันนี้ดัชนีดาวโจนส์ยังสามารถขึ้นต่อได้อีก ก็จะได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าของสถิติ “เดือนที่ทำผลงานได้ดีที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 1987” ในขณะเดียวกันดัชนี S&P 500 ก็ปรับตัวขึ้นมาตลอดทั้งเดือน 11.3% และอาจจะกลายเป็นขาขึ้นที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน
ความเคลื่อนไหวที่สำคัญตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายนนี้คือการโยกเงินไปลงทุนกับหุ้นกลุ่มวัฎจักรมากขึ้นของตลาดเมื่อได้เห็นข่าวดีของวัคซีนต้านโควิด หุ้นในกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้นมามากกว่า 17% ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมสามารถขึ้นมาได้เกือบ 15% ดังนั้นในสัปดาห์นี้ที่ถือเป็นสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม ทาง investing.com ก็มีหุ้นสามตัวในใจที่ประเมินเอาไว้ว่าน่าจับตามอง
1. Amazon
เป็นที่ทราบกันดีว่าในทุกๆ ช่วงที่มีวันหยุดยาว หุ้นในกลุ่มผู้ค้าปลีกมักจะเป็นที่จับตามองของนักลงทุนมากที่สุด แล้วยิ่งปีนี้มีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดมาเพื่อสกัดกั้นกิจกรรมทางธุรกิจแทบจะทุกประเภทยิ่งทำให้นักลงทุนอยากรู้ว่าตัวเลขยอดขายของบริษัทผู้ค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่างแอมาซอน (NASDAQ:AMZN) จะเป็นอย่างไรในวันหยุดยาวที่ลากมาตั้งแต่วันขอบคุณพระเจ้า วันแบล็คฟรายเดย์และวันหยุดสุดสัปดาห์
ข้อมูลจาก Adobe Analytics ประเมินว่าการจับจ่ายใช้สอยของชาวอเมริกันในเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคมจะมีตัวเลขอยู่ที่ $189,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 33% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว เมื่อนำข้อมูลที่ได้มาประมวลรวมกับการเก็บค่าธรรมเนียมของแอมาซอน $0.40 ในทุกๆ การซื้อขายออนไลน์ หมายความว่าปีนี้กำไรของบริษัทแอมาซอนจะต้องเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
Adobe Analytics ยังประเมินอีกว่าช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมาบริษัทผู้ค้าปลีกออนไลน์ต้องได้กำไรจากการซื้อของทางออนไลน์เพิ่มขึ้นเพราะคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลทางสถิติพบว่าผู้บริโภคมีการใช้เงินมากกว่า $9,000 ล้านเหรียญสหรัฐในการซื้อของทางเว็บไซต์หลังจากวันขอบคุณพระเจ้า คิดเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้น 21.6% แบบปีต่อปี
ตลอดช่วงระยะเวลาของการแพร่ระบาด บริษัทแอมาซอนได้ใช้เงินจำนวนมากในการรักษาพนักงานมากถึง 250,000 ชีวิตเอาไว้ไม่ให้ตกงานเพื่อให้บริษัทยังสามารถดำเนินการส่งของให้กับลูกค้าได้มากเท่ากับอุปสงค์ที่เติบโตขึ้นตามความสะดวกสบายทางเทคโนโลยี ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นแอมาซอนปรับตัวขึ้นมาแล้ว 80% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $3,195.34
2. Zoom Video
บริษัทอเมริกันที่ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านการประชุมทางไกล และการประชุมออนไลน์ “ซูม วิดีโอคอมมิวนิเคชันส์” (NASDAQ:ZM) หรือที่เรียกย่อว่า “ซูม” จะรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 แบบปีบัญชีของปี 2021 ในวันนี้หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิดทำการ นักวิเคราะห์ประเมินว่าบริษัทซูมจะสามารถรายงานตัวเลขผลกำไรออกมาอยู่ที่ $693 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.759
บริการของซูมได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงวิกฤตโควิดที่ผ่านมา การมีผู้ใช้งานในทุกๆ ช่วงอายุนับล้านคนทำให้ซูมกลายเป็นแอปพลิเคชันชื่อดังของโลกและไม่แปลกเลยที่จะเป็นบริษัทหนึ่งที่สามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาลในปี 2020
บริษัทซูมได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลตัวเลขเกี่ยวกับการใช้งานบริการของบริษัทว่ามีบริษัทที่มีพนักงานมากกว่า 10 คนขึ้นไปจำนวน 370,200 บริษัทกำลังใช้บริการของซูมอยู่ ตัวเลขนี้คิดเป็นการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ใช้งาน 5 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว
ที่สำคัญการรายงานผลประกอบการในไตรมาสล่าสุด ซูมก็สามารถแสดงตัวเลขกำไรที่เติบโตมากกว่าไตรมาสที่ 2 ปี 2019 ได้มากถึง 4 เท่า นี่คือการเติบโตของซูมอย่างมหาศาล ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นของซูมมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 600% จากเดิมที่เคยมีมูลค่าอยู่ที่ $36 หลังจากการเปิด IPO ในเดือนเมษายนปี 2019 ตอนนี้หุ้นของซูมมีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $471.61
3. CrowdStrike
บริษัทผู้ให้บริการโซลูชันด้านความมั่นคงปลอดภัย “คลาวด์สไตรค์” (NASDAQ:CRWD) จะรายงานผลประกอบการของไตรมาสล่าสุดในวันพุธที่ 2 ธันวาคมนี้หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์ประเมินว่ากำไรของคลาวด์สไตรค์ในไตรมาสนี้จะเพิ่มขึ้น 70% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 และมีตัวเลขอยู่ที่ $213 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากการเติบโตของธุรกิจออนไลน์ในช่วงโควิดที่กินเวลาทั้งปี 2020 ทำให้แทบจะทุกบริษัท องค์กร สถาบัน ฯลฯ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับตัวเข้าหาโลกออนไลน์มากขึ้น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้เองที่ทำให้ความต้องการความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์เพิ่มขึ้นไปด้วย ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นของบริษัทคลาวด์สไตรค์สามารถสร้างขาขึ้นได้มากกว่า 200%
ปัจจุบันบริษัทคลาวด์สไตรค์มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ $3,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ใช้เวลา 18 เดือนหลังจากเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ก็สามารถทำให้หุ้นของบริษัทมีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $150.83 นายจอร์จ เคิร์ต CEO และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทมีเป้าหมายที่จะพัฒนาบริการการรักษาความปลอดภัยบนเทคโนโลยีคลาวด์ให้มีระดับสูงเทียบเท่ากับบริษัทชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกาให้ได้