🥇 กฎข้อแรกของการลงทุนหรือ? รู้ว่าเมื่อใดควรประหยัด! รับส่วนลดสูงสุด 55% สำหรับ InvestingPro ก่อนโปรโมชั่น BLACK FRIDAY จะหมดเขตรับส่วนลด

การประชุมของเฟดเมื่อกลางเดือนส่งแรงหนุนต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์

เผยแพร่ 30/09/2563 18:01
XAU/USD
-
XAG/USD
-
DX
-
GC
-
HG
-
SI
-
ESZ24
-
CL
-
ZS
-
ZC
-
US2US10=RR
-

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก: CQC

- ขาลงในดัชนีดอลลาร์สหรัฐไม่ได้ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลงตาม
- ยิ่งกระตุ้นยิ่งเสริมสภาพคล่องให้เศรษฐกิจยิ่งทำให้ราคาแร่โลหะเพิ่มสูงขึ้น
- ช่วงเวลาที่ตลาดไม่กล้าเสี่ยงคือช่วงเวลาที่ดีกับการเลือกสินค้าโภคภัณฑ์เข้ามาอยู่ในพอร์ตลงทุน
- ช่วงปี 2008-2012 อาจเป็นต้นแบบการวิ่งของตลาดในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้าต่อจากนี้

เนื่องจากบทความนี้เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างดอลลาร์สหรัฐและสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งถ้าหากผู้อ่านเป็นผู้ที่ติดตามเว็ปไซต์ investing.com มาตลอดก็จะทราบดีถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับสหรัฐอเมริกาอยู่แล้ว ดังนั้นสำหรับผู้อ่านที่ไม่ได้ตามความเคลื่อนเกี่ยวกับนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีหลังเลยเราจะขอสรุปให้อ่านคร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ 

ตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่หนึ่งธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้มีการลดอัตราดอกเบี้ยลงมาจนเหลือ 0% -0.25% เพื่ออุ้มเศรษฐกิจให้ยังยืนอยู่ได้เมื่อต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่มาจากภัยโรคระบาดโควิด-19 และคงตัวเลขนี้เอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ยังมีการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการพิมพ์เงินเข้ามาในระบบมหาศาล

ต่อมาในเดือนสิงหาคมมีการประชุมที่ชื่อ “แจ็กสัน โฮล (Jackson Hole)” เกิดขึ้นที่เมืองแจ็กสัน ไวโอมิ่ง ครั้งนั้นประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ นายเจอโรม พาวเวลล์ได้ประกาศว่าจะเปลี่ยนนโยบายอัตราเงินเฟ้อเพื่อเอื้อต่อการเสริมสภาพคล่องและการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยจะปล่อยให้อัตราเงินเฟ้อสามารถขึ้นเกิน 2% ได้บ้างเป็นครั้งคราว จนถึงการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) ในช่วงกลางเดือนกันยายนที่พึ่งผ่านมา เฟดก็ยังยืนยันที่จะคงดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐปล่อยกู้เงินสำรองให้ซึ่งกันและกันเป็นอัตรา (FFR) เอาไว้ดังเดิม

ขาลงในดัชนีดอลลาร์สหรัฐไม่ได้ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลงตาม

แถลงการณ์ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ต่อสภาคอนเกรสเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทำให้กราฟดัชนีดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจนสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ 94.682 ได้ในวันศุกร์ที่ 25 กันยายนDollar Index Weekly

จากกราฟรายสัปดาห์จะเห็นได้ว่ากราฟดัชนีดอลลาร์สหรัฐมีกรอบการวิ่งของราคาอยู่ระหว่าง 103.96 ถึง 91.925 ราคาล่าสุดตอนนี้กราฟดัชนีดอลลาร์สหรัฐลงมาจาก 94 และมีตัวเลขล่าสุดอยู่ที่ 93.90 โดยประมาณ การเพิ่มเงินเข้ามาในระบบของเฟดทำให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐอยู่ใกล้กับจุดต่ำสุดมากกว่าจุดสูงสุดอย่างชัดเจน

จุดสูงสุดหรือ High ของดัชนีดอลลาร์สหรัฐหมายถึงความสามารถในการแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ของโลก ยิ่งธนาคารกลางเพิ่มเงินเข้ามาในระบบเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้มูลค่าของเงินดอลลาร์อ่อนลงจนลงมาอยู่ที่ระดับ 90 กว่าๆ ในเดือนกันยายน แม้จะฟังดูดีว่ากราฟวัดมูลค่าตัวนี้สามารถปรับตัวกลับขึ้นมาได้แต่หากดูระยะทางขาลงก่อนหน้านี้ก็แสดงให้เห็นชัดเลยว่าความน่าเชื่อถือของเงินดอลลาร์นั้นลดลงอย่างมากจากการมาของโควิดในระยะเวลาไม่ถึงปี ตราบใดที่กราฟดัชนีดอลลาร์สหรัฐยังไม่สามารถขึ้นสูงกว่า 98 ได้ก็ยังไม่สมควรเรียกตัวเองว่ากลับมาเป็นแนวโน้มขาขึ้น และเพราะดอลลาร์คือสกุลเงินสำรองอันดับหนึ่งของโลกเมื่อมูลค่าของสกุลเงินนี้ลดลงย่อมส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปกติทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์สำรองให้มีราคาสูงขึ้น ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ขาขึ้นของดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทำให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง

ยิ่งกระตุ้นยิ่งเสริมสภาพคล่องให้เศรษฐกิจยิ่งทำให้ราคาแร่โลหะเพิ่มสูงขึ้น

การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาหรือที่รู้จักกันดีในนาม “โควิด-19” ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) รวมถึงธนาคารกลางอื่นๆ ทั่วโลกต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงมาเพื่อเสริมสภาพคล่องทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ นอกจากนี้ยังมีการช่วยเหลือทางการเงินอีกหลายมาตรการเช่นการทำ QE การให้เงินเยียวยาผู้ที่ตกงานซึ่งนโยบายเหล่านี้ทำให้มูลค่าของสกุลเงินนั้นๆ ลดลงเป็นอย่างมากและรวมไปถึงผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลด้วย

ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ออกมาย้ำหลายรอบมากว่ายังจับตาดูสถานการณ์ทางการเงินอย่างใกล้ชิดและพร้อมจะใช้เครื่องทางการเงินที่มีทุกอย่างเพื่อพยุงเศรษฐกิจเอาไว้ให้ได้ ดังนั้นจากสิ่งที่เฟดทำมาไม่ว่าจะเป็นการปล่อยอัตราเงินเฟ้อให้ขึ้นเกินกว่า 2% หรือการเปลี่ยนการเงินนโยบายเพื่อให้เอื้อต่อเงินเฟ้อให้สามารถขึ้นได้ง่ายขึ้นจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ก็จริงแต่สิ่งที่ต้องแลกมาคือการอ่อนมูลค่าลงของสกุลเงินนั้นๆ และเมื่อไหร่ก็ตามที่เงินอ่อนค่า ผู้คนก็จะหันไปหาสิ่งที่เป็นสินทรัพย์สำรองเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง

ช่วงเวลาที่ตลาดไม่กล้าเสี่ยงคือช่วงเวลาที่ดีกับการเลือกสินค้าโภคภัณฑ์เข้ามาอยู่ในพอร์ตลงทุน

ในช่วงที่เฟดอัดฉีดเงินเข้ามาในตลาดจะเห็นว่าตลาดหุ้นมีความสุขและปรับตัวขึ้นกันอย่างสนุกสนานจนสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ได้ทั้งๆ ที่โลกเข้าสู่วิกฤตทางการเงินที่ร้ายแรงที่สุดในรอบเกือบสิบปีS&P 500 Futures Weekly

จากกราฟรายสัปดาห์ของสัญญาซื้อขายล่วงหน้า E-Mini S&P 500 Futures จะเห็นว่าขาขึ้นในตลาดหุ้นนับตั้งแต่จุดต่ำสุดเดือนมีนาคมขึ้นมาสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ได้เร็วเพียงใด จุดสูงสุดนี้พึ่งเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนนี้เอง ขาขึ้นดังกล่าวแรงมากจนถึงขนาดว่าทำสินทรัพย์สำรองที่ชอบขึ้นในช่วงความเสี่ยงสูงๆ อย่างทองคำและแร่เงินต้องปรับฐานอย่างเงียบๆ ราคาทองแดงจากที่เคยขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ $3.10 ต่อปอนด์กลับมีราคาซื้อขายเหลือเพียง $3 ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับฐานมาตั้งแต่จุดสูงสุดของเดือนสิงหาคม และหากผู้อ่านได้ลองเปรียบเทียบกับกราฟดัชนีดอลลาร์สหรัฐในช่วงเวลาดังกล่าวจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างตลาดทั้งสามว่า 

ในขณะที่ตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ดอลลาร์ทรงตัว สินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลง
ในขณะที่ตลาดหุ้นปรับฐาน ดอลลาร์แข็งค่า สินค้าโภคภัณฑ์ปรับฐาน
ในขณะที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง ดอลลาร์ทรงตัว สินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น

ยิ่งคนไม่กล้าเสี่ยงในตลาดหุ้นมากแค่ไหน ก็ยิ่งมีโอกาสให้เฟดมองว่าอาจต้องอัดฉีดเงินเพิ่มและยิ่งเปิดโอกาสให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น

ช่วงปี 2008-2012 อาจเป็นต้นแบบการวิ่งของตลาดในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้าต่อจากนี้

ถึงแม้ว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจจะต่างกันแต่เรื่องมือที่ใช้จัดการกับปัญหาเศรษฐกิจยังเป็นเครื่องมือเดิมๆ วิกฤตการเงินปี 2008 ตอนนั้นกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ยืมเงินมา $530,000 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและในเดือนพฤษภาคมปี 2020 ก็พึ่งยืมเงินไปอีก $3,000,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ยิ่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 3 พฤศจิกายนใกล้เข้ามายิ่งดูเหมือนว่ารัฐบาลจะยิ่งไม่อยากออกหรือวางนโยบายใหม่ๆ แล้วเพราะนอกจากการตัดสินครั้งนี้จะเป็นตัวชี้วัดว่าใครจะได้เป็นผู้นำประเทศคนใหม่ระหว่างประธานาธิบดีคนปัจจุบันโดนัลด์ ทรัมป์หรือผู้ท้าชิงโจ ไบเดนยังจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งในสภาสูงของสหรัฐฯ อีกด้วย การเสนอตัวแทนคนใหม่ที่จะมาแทนที่นางรูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก ผู้พิพากษาสูงสุดที่พึ่งเสียชีวิตคือหนึ่งในเกมการเมืองที่จะส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งนี้ ตอนนี้โอกาสที่เราจะได้เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสองก่อนการเลือกตั้งคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว คงจะต้องไปลุ้นกันอีกทีหลังจากทราบผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ว่ากระทรวงการคลังจะมีโอกาสได้ยืมเงินเพิ่มมากน้อยแค่ไหน

สำหรับฝั่งของสินค้าโภคภัณฑ์นั้นไม่ได้สนใจมากนักว่าใครหรือพรรคไหนจะได้เป็นผู้นำสหรัฐฯ ต่อไปเพราะตราบใดที่อัตราเงินเฟ้อมีโอกาสจะเพิ่มสูงขึ้นและยังมีโอกาสที่กระทรวงการคลังจะกู้เงินเพิ่มอีกยิ่งมีแต่เปิดโอกาสให้ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ได้ปรับตัวสูงขึ้น หากลองไปดูกราฟในช่วงระหว่างปี 2008 - 2012 ที่โลกพึ่งผ่านวิกฤตการเงินไปจะเห็นว่าตอนนั้นก็ไม่มีใครกล้าลงทุนในตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์หลายๆ ตัวอย่างทองคำก็สามารถสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลได้ในปี 2011

นอกจากทองคำแล้วก็จะมีทองแดงที่สามารถสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลได้ในปีเดียวกัน น้ำมันดิบขึ้นไปถึง $100 ต่อบาร์เรล ข้าวโพดและถั่วเหลืองก็สามารถสร้างจุดสูงสุดได้ในปี 2012 นอกจากภัยเศรษฐกิจแล้วยังมีเรื่องของภัยแล้งเข้ามาด้วยในปีนั้น

อัลเบิร์ต ไอสไตน์ นักฟิสิกส์อัจฉริยะชื่อดังของโลกเคยกล่าวประโยคสุดคลาสสิคเอาไว้ประโยคหนึ่งว่า 

“คนที่อยากได้ผลลัพธ์ใหม่แต่ทำสิ่งเดิมๆ คือคนวิกลจริต”

คำพูดนี้สามารถเปรียบได้กับการกระทำของธนาคารกลางและรัฐบาลทั่วโลกที่กำลังใช้เครื่องมือเดิมๆ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจใหม่ ที่น่ากลัวกว่านั้นคือในการแก้ไขปัญหาระดับนี้ทุกครั้งมีแต่จะกู้เงินด้วยจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น นี่คือการเอาน้ำมันไปรดกองไฟและกำลังเป็นการทำลายระบบการเงินด้วยฝีมือของผู้สร้างเอง ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่หลังจากปี 2020 สินทรัพย์สำรองที่อยู่ในหมวดหมู่สินค้าโภคภัณฑ์จะไม่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย