น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (BK:KSL)
FY 3Q20 รายงานกำไรสุทธิ 196 ลบ. ( -10 %YoY) KSL มีกำไรสุทธิงวด FY 3 Q20 ( พ . ค . - ก . ค.) ที่ 196 ลบ. ( -10%YoY แต่ พลิกจากที่ขาดทุน 587 ลบ. ใน FY2Q20 หากไม่รวมรายการพิเศษจะพลิก จากที่ขาดทุน 10 ลบ. ใน FY3Q19 และเพิ่มขึ้น 111%QoQ) โดยรายได้ อยู่ที่ 3 , 0 2 4 ลบ. ( - 3 2%YoY , -12%QoQ ) ผลกระทบของอ้อยเข้าหีบที่น้อย ทำให้ปริมาณขายที่ลดลง 47%YoY,19%QoQ มาอยู่ที่ 1.6 แสนตัน ขณะที่ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1 3 ,390 บาท/ตัน (+20%YoY,+7%QoQ ) กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 16% ลดลงจาก 18% ใน FY 3Q19 เพราะอ้อยเข้าหีบที่ลดลง ทำให้มีการใช้วัตถุดิบภายนอกมากขึ้นโดยเฉพาะในธุรกิจโรงไฟฟ้า แต่ดีขึ้นจาก 11% ใน FY 2 Q20 หลังจากมีปริมาณขายในประเทศเพิ่มขึ้น
ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 227 ลบ. ( - 67%YoY, -28%QoQ) เพราะ ไม่มีค่าใช้จ่ายเงินให้กับกองทุนอ้อยและน้ำตาล รวมถึงค่าใช้จ่ายในการ ส่งออกที่ลดลงตามปริมาณการส่งออก ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนจำนวน 62 ลบ. (+244%YoY, -40%QoQ) มาจาก BBGI 56 ลบ. และ TSTE 6 ลบ. รวมแล้วในช่วง FY9M20 มีรายได้ 9,444 ลบ. ( -13% YoY) และมีผล ขาดทุนกว่า 179 ลบ. แต่ถ้าไม่รวมรายการพิเศษกำไรปกติจะอยู่ที่ระดับ 644 ลบ. (+66%YoY)
ราคาตลาดโลกมองยังไปได้ แต่ต้องติดตามที่บราซิลอย่างใกล้ชิด ราคาน้ำตาลในตลาดโลก ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุ 13 Cents/Pound เนื่องจากกองทุนมีการเข้าซื้อสถานะ Long เพิ่มขึ้น (และก็เป็นเหตุผลเดียวกันที่ทำให้ล่าสุดราคาเริ่มอ่อนตัวลงต่ำกว่า 12 Cents/Pound) ในปัจจุบัน ขณะที่ในแง่ผลผลิตน้ำตาลโลกฤดูกาลผลิต 20/21 คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยโดยส่วนใหญ่มาจากบราซิลที่มีการ หันมาผลิตน้ำตาลเพิ่มขึ้นเป็น 36 ล้านตัน จาก 27 ล้านตันในปีก่อนแต่ด้วย การผลิตจากไทยที่ลดลงและความต้องการบริโภคที่ยังเพิ่มขึ้นทำให้ภาวะน้ำตาลยังอยู่ในลักษณะเกินดุลหรือขาดดุลเล็กน้อย
ทั้งนี้หากค่าเงินเรียลของบราซิลอ่อนค่าลงอีกมีโอกาสที่บราซิลจะหันมาผลิตน้ำตาลเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป โดยทาง KSL มองระดับน้ำตาล โลกจะอยู่ในกรอบ 11.25 -13.25 Cents/Pound
ปี 21 ต้องลุ้นว่าจะมีอ้อยเข้ามากน้อยเพียงใด หลังจากกำไรปกติในช่วง FY9M20 อยู่ที่ระดับ 600 ลบ. ทำให้เราปรับกำไรปกติขึ้นมาอยู่ที่ 750 ลบ. (แต่ถ้ารวมรายการพิเศษจะยังขาดทุน ประมาณ 73 ลบ.) ส่วนปี 21 ต้องติดตามถึงปริมาณอ้อยเข้าหีบว่าจะมาก น้อยเพียงใดหลังจากเกษตรกรประสบปัญหาภัยแล้ง ทำให้คาดกันว่า ปริมาณอ้อยเข้าหีบน่าจะใกล้เคียงกับปี 20 เท่านั้นแต่การมีอ้อยเหลือไปขายน้อยลง
ทำให้คาดว่าปริมาณขายจะมีเพียง 580,000 ตัน ลดลงจาก ระดับ 718,000 ตันในปี 20 (แม้จะได้รับผลดีจากการขายน้ำตาลในประเทศที่คาดว่าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นและการปรับราคาขายไฟฟ้าขึ้น ประมาณ 20 % จะช่วยหนุนกำไรขั้นต้นให้ขึ้นไปอยู่ในระดับ 18% จาก 15% ในปี 20) โดยเราประเมินกำไรสุทธิอยู่ที่ 707 ลบ.
สำหรับคำแนะนำ การลงทุนเรามองว่าราคาน้ำตาลโลกยังคงมีความผันผวนค่อนข้างมาก แต่ด้วยราคาปิดล่าสุดมีส่วนต่างกับมูลค่าเหมาะสมปี 21 ที่เราประเมินได้ใหม่ที่ 2.2 4 บาท ( 14XPER 2 1E) อีกกว่า 1 2% เราจึงปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อเก็ง กำไร” ตามราคาน้ำตาลในตลาดโลกเท่านั้น
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่ cgsec.co.th