เมื่อวานนี้ ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (BK:TU) ได้แจ้งตลาดฯ ถึงการได้มาของหน่วยลงทุนสามัญ1,040,000 หน่วย คิดเป็น 13.68% ของหน่วยลงทุนทั้งหมดของ Red Lobster ผ่านบริษัท Thai Union Investment North America LLC (TUINA) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในสหรัฐฯ โดยโครงสร้างการลงทุนใหม่ TU จะถือหุ้นใน Red Lobster 25% และหุ้นบุริมสิทธิที่แปลงสภาพเป็นหุ้นได้ 24% เท่าเดิม สำหรับผู้ถือหุ้นจากเดิมที่เป็น Golden Gate Capital 51% จะได้ผู้ถือหุ้นใหม่ คือ กลุ่มผู้บริหารของ Red Lobster เอง 15% และ Seafood Alliance (ซึ่งผู้ถือหุ้น คือ พอล เคนนี่ อดีตผู้บริหาร Minor foodและ คุณฤทธิ์ ธีระโกเมน ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ MK Restaurant) 36%
มองพันธมิตรใหม่จะช่วยให้เติบโตต่อไปได้
TU ยังเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของ Red Lobster โดยผู้ร่วมทุนใหม่อย่าง Seafood Alliance มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งจะเข้ามาช่วยพัฒนาแบรนด์ Red Lobster สำหรับธุรกิจของ Red Lobster ในปัจจุบันที่มีการคลาย Lockdown แล้ว ได้มีการเพิ่มมาตรการต่างๆ ในด้านความปลอดภัย อาทิ การส่งอาหาร หรือ การสั่งอาหารแบบไร้การสัมผัส และนำเสนอเมนูใหม่
คงราคาเป้าหมายและคำแนะนำ
การที่ TU ต้องใส่เงินลงทุนเพิ่ม (ซึ่งยังไม่ทราบจำนวนเงินว่าเท่าใด) อาจทำให้ดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นบ้าง แต่เราคาดว่าจะไม่มีนัยสำคัญ ขณะที่สัดส่วน Net D/E ที่ปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.96 เท่า ในด้านเงินทุนจึงไม่มีความน่ากังวล ขณะที่การได้พันธมิตรใหม่มาอาจทำให้ Red Lobster สามารถฟื้นแบรนด์ของ Red Lobster ได้ ในภาพรวมจึงมองประเด็นนี้เป็นบวกมากกว่า เรายังคงราคาเป้าหมายที่ 18.40บาท ด้วยระดับ Upside ที่น่าสนใจ บวกกับ Dividend Yield ที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 4-5% จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities