เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 28-29 ก.ค.63โดยระบุว่ากรรมการ Fed ส่วนใหญ่มองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงเผชิญ กับความไม่แน่นอนที่สูงมาก และคาดว่าทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะถัดไป จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 อีกทั้งขึ้นอยู่กับว่าการ กลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งนั้น จะสามารถทำได้เป็นวงกว้างและมีเสถียรภาพมากเพียงใด นอกจากนี้รายงานการประชุม Fed ยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้มาตรการเยียวยาด้านการคลังรอบใหม่ โดยระบุว่า "มาตรการเยียวยาด้านการคลังรอบใหม่มีความจำเป็นต่อการให้ความช่วยเหลือครัวเรือนที่ได้รับความเดือดร้อน และมีความจำเป็นต่อการสนับสนุนเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง “ โดยในการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 28-29 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% พร้อมกับยืนยันว่าจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.00- 0.25% ต่อไป และใช้เครื่องมือทั้งหมดที่ Fed มีอยู่เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ จนกว่า เศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 และบรรลุเป้าหมายของเฟดในการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพของราคา
นอกจากนี้การ ประชุมประจำปีที่เมือง Jackson Hole ในวันที่ 27-28 ส.ค.2563 Jerome Powell ประธาน Fed กล่าวสุนทรพจน์โดยมีใจความสำคัญ คือการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินครั้งสำคัญ โดย Fed จะเปลี่ยนแปลงแนวทางในการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อจากเดิมที่ระดับคงที่ที่ 2% เป็น "เป้าหมายเงิน เฟ้อเฉลี่ย" (Average Inflation) ซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อมีความยืดหยุ่น และสามารถดีดตัวขึ้นเหนือ 2% เพื่อจะเปิดทางให้เงินเฟ้อดีดตัวขึ้นมากกว่าเดิมเพื่อสนับสนุนตลาดแรงงาน และ เศรษฐกิจสหรัฐฯ (Source: Infoquest)
Our view: เนื่องจาก Fed มีมุมมองที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับต่ำ หลังจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 ส่งผลกระทบกว้างต่อเศรษฐกิจทั่วโลก อย่างไรก็ตาม จากการเปิดเผยรายงาน การประชุมของ Fed ในวันที่ 28-29 ก.ค.2563 ไม่ได้มีการระบุถึงการใช้มาตรการ Yield Curve Control เพิ่มเติม ดังนั้นในระยะถัดไปมีความเป็นไปได้ที่ผลตอบแทน (Yield) ของพันธบัตรระยะ ยาวจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามกลไกของตลาด (Yield และราคาของพันธบัตรจะเคลื่อนไหวตรงกันข้าม) ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุน...แนะนำเพิ่มสัดส่วนในตราสารหนีร้ะยะสั้น และ ลดสัดส่วนใน ตราสารหนีร้ะยะยาว เนื่องจากตราสารหนี้ระยะสั้นมีInterest Rate Risk ต ่ากว่าระยะยาว
กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่แนะนำ คือ กองทุน SCBSFFPLUS-I ของบลจ. ไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น มีดูเรชั่นเฉลี่ยของพอร์ตไม่เกิน 1 ปี โดยกองทุนเน้นลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาลและเงินฝากรวมกันราว 75% และลงทุนในหุ้นกู้เอกชนราว25% เพื่อเพิ่มอัตรา ผลตอบแทน โดยลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับลงทุน (investment grade) เท่านั้น กองทุนมีการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศราว 40% และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตรา แลกเปลี่ยนเต็มจำนวน
กองทุนรวมหุ้นที่แนะนำในสัปดาห์นี้คือ K-CHANGE-A(A) ของ บลจ.กสิกรไทย ที่เน้นลงทุนในบริษัทที่สร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับโลก หรือ ธุรกิจที่จะเปลี่ยนโลก “ให้ดีขึ้น” ในระยะยาว อาทิ บริษัทพลังงานสะอาด บริษัทด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม บริษัทด้านการศึกษา บริษัทเกี่ยวกับ เทคโนโลยีทางการแพทย์เป็นต้น ตัวอย่างบริษัทที่น่าสนใจคือ Dexcom ที่คิดค้นเทคโนโลยีในการ ตรวจเบาหวานที่มีความแม่นยำสูงโดยคนไข้ไม่จำเป็นต้องเจาะเลือด หรือบริษัท Tesla (NASDAQ:TSLA) ผู้ผลิต รถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงพลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยลงทุนในกองทุนหลัก Baillie Gifford Positive Change Fund ที่เน้นลงทุนในหุ้นทั่วโลก โดยมีสัดส่วนในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย ตามลำดับ โดยกองทุนมีผลการดำเนินงานโดดเด่น 3 ปีย้อนหลัง +26.1% ต่อปีณ 30 มิ.ย. 2563 และได้รับ Morningstar 5 ดาว(Source: KAsset
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Yuanta Securities