วอร์เรน บัฟเฟตต์ซื้อหุ้น 5 บริษัท Trading ใหญ่ในญี่ปุ่นมูลค่ากว่า 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ! #บัฟเฟตต์มองเห็นอะไรที่เราไม่รู้หรือไม่ ? จึงควักกระเป๋าเข้ามาซื้อดีลนี้
ทุกครั้งที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ขยับและปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุน นักลงทุนทั้งโลกจะให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะทุกฝ่ายก็อยากจะรู้ว่าทางบัฟเฟตต์มีมุมมองอย่างไรกับตลาด และเช้านี้ทาง Berkshire Hathaway ของบัฟเฟตต์เองก็ได้ขยับอีกครั้ง ในการประกาศซื้อหุ้น 5 บริษัท Trading ใหญ่ของญี่ปุ่น ได้แก่:
1) Mitsubishi
2) Mitsui & Co
3) Sumitomo
4) Itochu
5) Marubeni
ซึ่งบริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจ "ซื้อมา-ขายไป" นำเข้า-ส่งออกสินค้าสินค้าโภคภัณฑ์และวัตถุดิบตามโอกาสของตลาด เป็นกลุ่มบริษัทที่จะคอยหาจุดเหลื่อมล้ำระหว่างอุปสงค์อุปทาน (Demand-Supply Imbalance) ในตลาดแล้วคอยช่วยเชื่อมดีลต่างๆเหล่านี้เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้า-ส่งออก การช่วยจัดการขนส่ง เพื่อหาช่องในการทำกำไรและทำให้โลกของเราสามารถใช้วัตถุดิบต่างๆได้อย่างคุ้มค่าที่สุด ไม่ต้องใช้ของแพงในจุดที่ได้มูลค่าน้อย และไม่ต้องใช้ของถูกในจุดที่ของแพงอาจสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่า (ไม่เช่นนั้น Trade War คงไม่ทำให้ GDP หด)
ทาง Berkshire Hathaway Inc (NYSE:BRKa) ได้เข้าซื้อหุ้น 5 บริษัทนี้ในสัดส่วนบริษัทละ 5% แต่ได้รายงานต่อว่าอาจเข้าถือหุ้นเพิ่มเติมจนถึงสัดส่วน 9.9% อีกด้วย
#ทำไมบัฟเฟตต์ถึงซื้อดีลนี้ ?
ในดีลใหญ่ๆของบัฟเฟตต์ในปีนี้นั้น เหตุผลอาจจะตรงไปตรงมามากกว่าดีลนี้เพราะวิกฤตไวรัสโควิดกำลังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว เช่น
1) การขายทิ้งหุ้นสายการบิน - แน่นอน เพราะว่าเรายังไม่รู้เลยว่าธุรกิจการบินจะกลับมาเป็นปกติเมื่อไหร่
2) การซื้อหุ้นเหมืองทอง - เพราะว่าการอัดฉีดเงินมากมายและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำไปอีกซักพักใหญ่ๆ จะทำให้ทางมีมูลค่าสูงขึ้น
#แต่... เหตุผลของดีลนี้นั้นไม่ได้ชัดเจนเหมือนกับดีลที่ผ่านๆมา และจากที่พยายามรวบรวมเหตุผลต่างๆ อาจจะเป็นไปได้หรือไม่ว่า...
1. เพราะนายกญี่ปุ่นเพิ่งลาออกทำให้หุ้นญี่ปุ่นตกลงมาในช่วงนี้ ?
ไม่น่าใช่เพราะแค่ราคาหุ้นที่ตกลงมาแน่ๆ เพราะว่าทางปัฟเฟตต์เป็นนักลงทุนระยะยาว ไม่น่าหลังผลระยะสั้น แต่อาจเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของผู้นำญี่ปุ่นครั้งแรกในรอบ 8 ปี อาจจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในระยะยาวได้ ?
2. การซื้อบริษัท Trading นั้นดีเช่นไร ?
โดยปกติแล้วหากตลาดมีความผันผวนสูงบริษัท Trading จะทำกำไรได้มากขึ้น เพราะจุดเหลื่อมล้ำระหว่าง Demand-Supply จะเปิดกว้างขึ้นในหลายๆโอกาส
ทางบัฟเฟตต์อาจมองว่า #อนาคตยังมีความไม่แน่นอนสูง เพราะไวรัสโควิดหรือไม่ ? จึงทำให้หากราคาสินค้าโภคภัณฑ์และวัตถุดิบจะมีความผันผวนไปอีกยาวๆ บริษัทเหล่านี้ก็จะทำกำไรได้ดี
3. ความเชื่อว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกนั้นต่ำไปแล้ว ?
ดัชนีชี้วัดราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกนั้น ได้ปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 12 ปี (ต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤต Subprime ในปี 2008) ผมได้แนบดัชนี Bloomberg Commodities index ไว้ในคอมเม้นท์ลองไปเปิดดูกันได้ครับ
เป็นไปได้ไหมว่าทางบัฟเฟตต์มองว่าเทรนด์ราคาจะเริ่มกลับตัว ไม่ว่าจะมาจากความต้องการใช้ที่มากขึ้น หรือว่าค่าเงินดอลล่าร์ที่อ่อนค่าลงไปเรื่อยๆ ?
แต่ที่แน่ๆหลังๆนี้ทางบัฟเฟตต์เริ่มเข้าจับจองซื้อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์เป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการกว้านซื้อท่อก๊าซจาก Dominion Energy การซื้อหุ้นเหมืองทองจาก Barrick Gold และการเข้าซื้อบริษัท Trading ของญี่ปุ่นครั้งนี้
4. หรือจะเป็นเพราะมูลค่าบริษัทนั้นต่ำไปแล้ว ?
บางทีเราอาจจะพยายามวิเคราะห์ความคิิดของบัฟเฟตต์มากไป โดยจริงๆแล้วทางบัฟเฟตต์อาจจะเข้าซื้อบริษัทพวกนี้เพราะมูลค่าถูกกว่า Valuation ก็ได้
โดยในช่วงปีที่ผ่านๆมาบริษัทเหล่านี้ยังมีกำไรอย่างมหาศาลแต่ด้วยวิกฤตไวรัสโควิดในครั้งนี้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ปรับตัวลดลงมา และทำให้ราคาหุ้นเหล่านี้ตกลงมาอย่างหนักด้วย และยังไม่ได้ดีดกลับขึ้นไปเหมือนหุ้นตัวอื่นๆ โดยทางบัฟเฟตต์อาจจะมองเพียงแค่ #เป็นการซื้อของถูกที่ปัจจัยพื้นฐานไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากก็ได้
ไม่ว่าทางบัฟเฟตต์จะคิดอย่างไรก็ตาม #การเข้าซื้อในครั้งนี้มีสิ่งที่ต่างไปจากครั้งอื่นๆที่น่าสนใจ
นั้นคือการที่บัฟเฟตต์กระจายเงินในการเข้าซื้อใน 5 บริษัทเป็น % ที่เท่าๆกัน โดยปกติแล้วทางบัฟเฟตต์จะไม่ทำเช่นนี้ เพราะว่าหากมีการวัดมูลค่าบริษัทอย่างชัดเจนแล้วทางบัฟเฟตต์และ Berkshire Hathaway ก็จะเข้าซื้อเพียงหุ้นของบริษัทที่ต่ำกว่ามูลค่าที่บริษัทมองมากที่สุด
การกระจายเงินไปหลายๆบริษัทในครั้งนี้จะแสดงถึงความไม่มั่นใจในตัวบริษัทใดบริษัทหนึ่งเหล่านี้ ? แต่มั่นใจถึงทิศทางของธุรกิจ Trading ในญี่ปุ่นหรือไม่ ? เราคงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดต่อไปครับ
บทวิเคราะห์นี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เพจ Oil Trading - ทันตลาดน้ำมันและเศรษฐกิจโลกกับ KP