แม้ดัชนี S&P 500 จะสามารถพลิกกลับขึ้นมาจากจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคมได้อย่างไม่คาดคิดแต่ขาขึ้นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับหุ้นทุกกลุ่มที่สังกัดอยู่ใน S&P 500 โดยเฉพาะหุ้นที่อยู่ในกลุ่มธนาคาร ปีนี้นักลงทุนเลือกที่จะไม่สนใจหุ้นกลุ่มธนาคารหรือสถาบันทางการเงินเนื่องจากความเป็นกังวลที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เกี่ยวกับการเผชิญภาวะถดถอยที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่ว่าผู้กู้อาจจะไม่สามารถจ่ายเงินกู้คืนให้แก่ธนาคารได้ ถึงตอนนี้ภาพรวมแล้วเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดูเหมือนจะฟื้นตัวได้ดีแต่หุ้นของบริษัทในกลุ่มธนาคารกลับไม่เป็นเช่นนั้น
โดยปกติแล้วหากต้องการดูว่าสถานการณ์ของหุ้นกลุ่มธนาคารเป็นอย่างไร นักลงทุนมักจะอ้างอิงข้อมูลจากดัชนีธนาคาร KBW ซึ่งในปีนี้ปรับตัวลดลงมาแล้วมากกว่า 30% นอกจากนี้นักลงทุนยังประเมินหุ้นกลุ่มธนาคารจากนโยบายทางการเงินหรืออัตราดอกเบี้ยที่มาจากธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นหลักซึ่งการแถลงที่แจ็กสัน โฮลเฟดยืนยันแล้วว่าแม้จะมีกลยุทธ์ในการเพิ่มอัตราเงินเฟ้อใหม่แต่พวกเขาจะคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับใกล้กับ 0% ไปอีกนานเท่ากับว่ากว่าหุ้นธนาคารจะกลับมาให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับช่วงก่อนโควิดได้ก็ต้องใช้เวลาอีกนานด้วยเช่นกัน
อัตราดอกเบี้ยที่ให้ผลตอบแทนต่ำ
สภาพเศรษฐกิจที่อยู่ในอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานานจะไม่ส่งผลดีต่อกำไรของธนาคาร ทุกคนทราบดีว่ากำไรของธนาคารมาจากการเก็บส่วนต่างจากกำไรของการกู้ยืมหรือที่เรียกกันว่าดอกเบี้ยรับสุทธิ (NII) เมื่อเศรษฐกิจถูกคุกคาม ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง หากธนาคารไม่มีช่องทางกระจายความเสี่ยงก็จะทำให้ความเสี่ยงนั้นมาตกอยู่กับธนาคารเอง ในรายชื่อของธนาคารชื่อดังสหรัฐฯ เรามีตัวอย่างของกรณีนี้ให้เห็นนั้นก็คือ Wells Fargo (NYSE:WFC) ที่ตอนนี้ถือว่า่ฟื้นตัวจากพิษเศรษฐกิจได้ช้ากว่าธนาคารอื่น
ในรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2020 ของ Wells Fargo พบว่าขาดทุนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008 และในไตรมาสที่สองตัวเลขดอกเบี้ยรับสุทธิของธนาคารมีตัวเลขอยู่ที่ $9,900 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับ $12,100 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2019 จากแถลงการณ์ล่าสุดของเฟดยิ่งทำให้ Wells Fargo เหลือความหวังน้อยมากในการจะฟื้นตัวขึ้นมาจากวิกฤตด้วยกำไรที่มาจากการเก็บส่วนต่างเพียงอย่างเดียว
2 หุ้นธนาคารสหรัฐฯ ที่โดดเด่นกว่าใครอื่น
ถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะไม่เป็นใจแต่ก็ยังมีคนที่สามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ไปได้ สำหรับวงการธนาคารแล้วเราไม่เห็นใครโดดเด่นเท่า JPMorgan Chase (NYSE:JPM) และ Bank of America (NYSE:BAC) อีกแล้ว สาเหตุที่เราเชื่ออย่างนั้นเพราะเราตัดสินใจจากตัวเลขบัญชีงบดุลที่แข็งแกร่งและคุณภาพในการดำเนินธุรกรรมของธนาคาร
กำไรของธนาคารเจพีมอร์แกนในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้น 79% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 และเจพียังสามารถเก็บค่าธรรมเนียมที่ได้จากเงินฝากเพิ่มขึ้น 91% อีกธนาคารหนึ่งอย่างแบงก์ ออฟ อเมริกา (BofA) สามารถแสดงตัวเลขผลกำไรในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ได้แม้ว่าหุ้นของธนาคารจากต้นปี 2020 จนถึงปัจจุบันจะปรับตัวลดลง 26% กำไรจากส่วนต่างการซื้อขายพันธบัตรหรือหุ้นกู้ผ่าน BofA เพิ่มขึ้น 50% ในขณะที่กำไรจากส่วนต่างการซื้อขายในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น 7%
โดยสรุปแล้ว
เป็นความจริงที่ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยลงมาจนอยู่ในระดับต่ำของธนาคารกลางย่อมไม่ส่งผลดีต่อกำไรของธนาคารพาณิชย์และหุ้นของธนาคารเพราะแบงก์มีโอกาสที่ต้องถือหนี้เสียเอาไว้เพิ่มมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบางธนาคารอย่างเช่นเจพีมอร์แกนและแบงก์ ออฟ อเมริกาที่สามารถเอาตัวรอดจากสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ได้ด้วยการกระจายความเสี่ยงไปยังการทำธุรกรรมรูปแบบต่างๆ และการมีบัญชีงบดุลที่แข็งแกร่ง