เป็นเวลาเกือบ 3 เดือนแล้วที่เราเห็นราคาน้ำมันดิบไม่ไปไหนไกลเกินกว่าราคาเฉลี่ย $40 และยิ่งนานวันเข้าเราก็ยิ่งมีเหตุผลให้เชื่อเพิ่มขึ้นมากขึ้นว่าราคาน้ำมันดิบอาจร่วงลงภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ซึ่งในบทความจะอธิบายถึงสาเหตุและเหตุผลว่าทำไมจึงมีความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันจะถูกกดให้ลดลง
ตัวเลขความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้นแต่ส่งผลกระทบกับตลาดจริงๆ น้อยมาก
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาก็อย่างที่เห็นกันว่าราคาน้ำมันนั้นคงที่แทบจะไม่หลุดกรอบขึ้นหรือลงอย่างมีนัยสำคัญเลยสักครั้ง ราคาน้ำมันดิบเบรนท์มีราคาวิ่งอยู่ต่ำกว่า $46 ต่อบาร์เรลเล็กน้อยในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI มีราคาคงที่อยู่ประมาณ $40 - $43 ต่อบาร์เรล
ข่าวดีใดๆ ก็ตามที่เคยออกมาก่อนหน้านี้ไม่สามารถทำให้ราคาน้ำมันหลุดออกจากกรอบนี้ไปได้เลย แม้ว่าเราจะได้ยินข่าวว่าการบริโภคและการผลิตน้ำมันจะกลับมาแล้วในช่วงระหว่างเดือนเมษายนและพฤษภาคมแต่ตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังยังคงมีมากกว่าตัวเลขค่าเฉลี่ยปริมาณการเก็บน้ำมัน 5 ปีล่าสุด ขนาด 4 สัปดาห์ก่อน EIA มีรายงานว่าปริมาณน้ำมันดิบคงคลังลดลงแต่ราคาน้ำมันดิบก็ยังไม่ปรับตัวขึ้นจนกระทั่งตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังที่ลดลงนั้นเริ่มค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละนิดอย่างช้าๆ
ในรายละเอียดของปริมาณน้ำมันดิบคงคลังพบว่าปริมาณน้ำมันที่ถูกเก็บจนถึงวันที่ 24 กรกฎาคมลดลง 10.6 ล้านบาร์เรล ในวันที่ 31 กรกฎาคมลดลงอีก 7.4 ล้านบาร์เรล ในวันที่ 7 สิงหาคมลดลงอีก 4.5 ล้านบาร์เรลและล่าสุดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคมมีตัวเลขลดลงเพียง 1.6 ล้านบาร์เรลเท่านั้น แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากว่าตัวเลขในสัปดาห์นี้ไม่ลดลงไปมากกว่า 1.6 ล้านบาร์เรลแต่กลับมีตัวเลขเท่าเดิมหรือเพิ่มสูงขึ้น ราคาน้ำมันดิบก็จะถูกกดดันให้ปรับตัวลดลง
การซื้อน้ำมันจากสหรัฐฯ ของประเทศจีนชะลอตัว
ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าปริมาณน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ ที่ส่งไปยังจีนมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นแต่ความเป็นจริงหลังจากนี้อาจเปลี่ยนแปลงไป ในเดือนสิงหาคมพบว่าตัวเลขการส่งออกน้ำมันดิบไปยังสหรัฐฯ พึ่งสร้างตัวเลขสูงที่สุดของเดือนเนื่องจากจีนต้องการดำเนินตามเงื่อนไขในสัญญาการค้าที่จะซื้อน้ำมันคิดเป็นมูลค่า $25,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ยิ่งไปกว่านั้นการที่ซาอุดิอาระเบียไม่ได้ลดราคาน้ำมันให้กับผู้ซื้อในประเทศฝั่งเอเชียยิ่งทำให้ WTI เป็นที่น่าสนใจมากกว่าสำหรับจีน มีรายงานระบุว่าน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่จะต้องส่งมอบในเดือนกันยายนได้ถูกบรรจุลงแท็งค์เก็บน้ำมันและพร้อมส่งไปยังจีนแผ่นดินใหญ่เรียบร้อย
แม้ว่าจีนจะดำเนินการตามสัญญาซื้อขายน้ำมันกับสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ก่อนที่จะถึงช่วงเวลาของการตรวจสอบตัวเลขตามข้อตกลงกันใหม่อีกครั้งในเดือนสิงหาคมแต่เพราะราคาน้ำมันดิบตอนนี้ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำจึงเป็นไปได้น้อยที่จีนจะซื้อน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ ในราคาเท่าเดิม ดังนั้นสิ่งที่จีนจะทำคืออาจจะขอชะลอการซื้อน้ำมันจากสหรัฐฯ เอาไว้ ตามกำหนดการเดิมแล้วการตรวจสอบตัวเลขดังกล่าวจะเกิดขึ้นในวันที่ 15 สิงหาคมแต่ก็ถูกทรัมป์เลื่อนออกไปและยังไม่มีกำหนดด้วยว่าจะกลับมาคุยกันวันไหนเนื่องจากสงครามการค้าระหว่างทั้งสองชาติดุเดือดขึ้นจากการทำข้อตกลงในครั้งที่แล้วมาก
นอกจากนี้จีนยังเคยเจอกับสถานการณ์ที่มีแทงค์น้ำมันจำนวนมากต้องถูกทิ้งไว้ ณ ท่าเรือขนส่งน้ำมันของตนและจีนเองก็ประเมินกำลังและความต้องการใช้งานน้ำมันในประเทศแถบภูมิภาคเอเชียผิดไป ที่จริงแล้วการใช้น้ำมันยังไม่ได้กลับมาแข็งแกร่งอย่างแต่ก่อนแม้ว่าราคาน้ำมันจะถูกลงและบางประเทศในเอเชียสามารถควบคุมโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี โรงกลั่นน้ำมันของจีนซื้อน้ำมันมากลั่นมากเกินไปและยังมีน้ำมันคงคลังที่กลั่นแล้วเหลืออยู่
ท้ายที่สุดอย่าลืมว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่ติด 1 ใน 3 ของโลกมาตลอดและยังเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ตรวจสอบได้ เช่นเดียวกันกับรายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ ในแต่ละสัปดาห์ที่มีความน่าเชื่อถือสูงมากและได้รับการยอมรับจากนักลงทุน ยิ่งจีนซื้อน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ มากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นเรื่องดีมากเท่านั้น แต่ในทางกลับกันหากจีนชะลอการซื้อน้ำมันจากสหรัฐฯ เมื่อไหร่ตัวเลขก็จะปรากฎออกมาในบันทึกทันทีและในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกยังไม่มีความชัดเจนยิ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบตกต่ำลงได้ง่ายมากกว่าเดิมจากความกังวลของนักลงทุน
ปริมาณความต้องการน้ำมันดิบในสหรัฐฯ อาจลดลง
โดยปกติแล้วความต้องการใช้งานพลังงานเชื้อเพลิงของสหรัฐฯ จะชะลอในช่วงเดือนกันยายนเพราะกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากหน้าร้อนสู่หน้าหนาว แต่ปีนี้ปริมาณการใช้พลังงานเชื้อเพลิงลดลงตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนเพราะการระบาดของโควิด-19 จนทำให้การเดินทางเพื่อท่องเที่ยวไม่เป็นไปอย่างที่เคยเป็น
นอกจากการใช้งานของผู้บริโภคที่ลดลงในช่วงหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึงจะเป็นปัญหาแล้ว โดยปกติผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันมักจะหยุดทำงานในช่วงฤดูหนาวเพื่อปรับปรุงซ่อมแซมเครื่องมืออุปกรณ์และถึงแม้ว่าปีนี้จะเจอกับภัยโรงระบาดก็ไม่มีข่าวว่าผู้ประกอบการทั้งหลายจะเลื่อนเวลาการพักปรับปรุงออกไป แน่นอนว่าเราจะได้เห็นตัวเลขนี้ผ่านข้อมูลจาก EIA รายสัปดาห์ทันทีที่โรงกลั่นน้ำมันเริ่มดึงน้ำมันออกมาจากคลังเพื่อกลั่นน้อยลง
เมื่อไปดูที่การใช้งานน้ำมันดีเซลพบว่ามีการใช้งานที่คงที่และค่อนไปทางลดลงด้วยในหน้าร้อน คาดว่าการใช้งานน้ำมันดีเซลจะทรงตัวหรืออาจลดลงมากกว่านี้หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยจริงๆ ที่สำคัญที่สุดการที่ธุรกิจการบินยังไม่สามารถกลับมาบินได้ตามปกติมีส่วนเป็นอย่างมากกับการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ เมื่อไม่มีคนกล้าเดินทางเหมือนแต่ก่อน ผู้ผลิตจึงไม่กล้าที่จะผลิตน้ำมันออกมาเพิ่มและยิ่งทำให้ราคาน้ำมันดิบไม่มีเหตุผลในการปรับตัวสูงขึ้น
โดยสรุปแล้ว
ความกลัวที่มีต่อการระบาดของโควิด-19 คืออุปสรรคสำคัญในการกลับมาใช้ชีวิตตามปกติของคนในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ยุโรปและพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก เราจะเห็นได้ว่าในแต่ละพื้นที่ต่างๆ ของโลกตอนนี้มีการควบคุมไวรัสที่ไม่เหมือนกัน สวีเดนกล้าที่จะเปิดพื้นที่ทางเศรษฐกิจในขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ของโลกแม้จะควบคุมได้แต่ก็ไม่กล้าเปิดให้คนนอกเข้ามาได้เหมือนแต่ก่อน คำถามที่น่าสนใจก็คือในวันที่วิกฤตโรคระบาดจบลงแล้วจริงๆ ผู้คนจะกล้าออกมาใช้ชีวิตอย่างที่เคยเป็นเหมือนช่วงก่อนโควิดหรือไม่
นายแฟรงค์กิ้น เท็มเพิลตันได้เขียนงานวิจัยเกี่ยวกับประเด็นนี้ออกมา (ซึ่งเป็นสิ่งที่ดิฉันเคยพูดมาทุกๆ เดือน) ระบุว่าการฟื้นฟูเศรษฐกิจซึ่งรวมไปถึงน้ำมันดิบมีปัจจัยหลักๆ อยู่ 3 ประการ
1. โลกสามารถแก้ไขปัญหาไวรัสได้อย่างเด็ดขาดและรัฐบาลมีการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
2. มนุษยชาติสามารถเลิกกลัวและระแวงโควิดได้จริงๆ หลังจากโควิดจบลง
3. แต่ละประเทศโดยเฉพาะประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่สามารถฟื้นฟูความเสียหายทางเศรษฐกิจให้ได้โดยเร็ว
อุปทานน้ำมันจากกลุ่ม OPEC หรือรัสเซียต่อจากนี้จะคงที่หรืออาจจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจนกว่าพวกเขาจะเห็นว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ กลับมาเดินเต็มสูบเหมือนเดิม แต่นั่นคือเรื่องที่ต้องไปดูกันหลังโควิดจบอีกทีซึ่งสำหรับอีก 4 เดือนที่เหลือของปี 2020 นี้ตราบใดที่ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ยังหดตัวต่อเนื่องก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นว่าสิ่งที่เขียนในบทความนี้จะเป็นจริงในฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง เป็นไปได้ว่าเราอาจจะเริ่มเห็นราคาน้ำมันดิบตกต่ำลงตั้งแต่ช่วงจบไตรมาสที่ 3 ไปจนถึงไตรมาสที่ 4
อีกหนึ่งปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้เลยในไตรมาสที่ 4 คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากนายโจ ไบเดนสามารถขว้าชัยชนะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ ได้ นโยบายหลายๆ อย่างของไบเดนเน้นไปทางการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมซึ่งเขารวมถึงการลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบจากหินน้ำมันด้วย นโยบายของเดโมแครตหลายๆ อย่างจะทำให้กำลังการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ลดลง