ทั้งบริษัทสื่อบันเทิงยักษ์ใหญ่อย่างดิสนีย์ (NYSE:DIS) และแฟรนไชส์ร้านกาแฟที่เปิดในหลายประเทศทั่วโลกอย่างสตาร์บัคส์ (NASDAQ:SBUX) ต่างต้องเผชิญกับสภาวะธุรกิจที่กราฟยอดขายหักหัวลงเพราะทั่วโลกต้องต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาทำให้โลกต้องล็อกดาวน์
ทั้งสองบริษัทนั้นเปรียบเหมือนสัญลักษณ์แห่งการบริโภคนิยมของชาวอเมริกันและได้สูญเสียรายได้มากมายในปีนี้เนื่องจากลูกค้าของพวกเขาต่างจำเป็นต้องอยู่แต่บ้านของตัวเอง สภาวะเช่นนี้ได้บีบให้เกิดการปิดกิจการในหลายส่วน แต่เมื่อกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งและปลดล็อกทางเศรษฐกิจ ทั้งสองบริษัทนั้นก็ได้รับความสนใจราวกับเป็นมาตรวัดความต้องการของผู้บริโภคว่าพร้อมจะกลับมาใช้ชีวิตปกติและจับจ่ายอีกครั้งแล้วหรือไม่
สำหรับนักลงทุนแล้ว หุ้นของทั้งสองบริษัทนั้นสามารถเป็นตัวเลือกที่น่าดึงดูดเพราะผลตอบแทนต่อความเสี่ยงนั้นอยู่ในระดับที่มีความน่าเชื่อถือแม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะยังคงไม่มีความแน่นอนในอนาคต บทความนี้เราจะมาเจาะลึกในข้อมูลของบริษัททั้งสองดังนี้
ดิสนีย์กับการกลับมาดำเนินกิจการได้อย่างถูกจังหวะ
บ้านเกิดของมิกกี้เมาส์หลังนี้กำลังต้องเผชิญกับปัญหาอย่างหนัก แกนหลักของธุรกิจที่เกี่ยวกับประสบการณ์ท่องเที่ยวของคนกลุ่มใหญ่ๆ กำลังได้รับความเสียหายอย่างหนักเพราะทั่วโลกกำลังมีการแพร่กระจายของ COVID-19 ซึ่งบีบให้ดิสนีย์ต้องงดให้การบริการของพวกเขาลงในหลายส่วนทั่วโลกทั้งสวนสนุก รีสอร์ท โรงภาพยนตร์ และการล่องเรือสำราญ
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ดิสนีย์ ในไตรมาสแรกรายได้ของดิสนีย์ลดลงกว่า $1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่หมายถึง 1 พันล้านล้านเหรียญจากการปิดสวนสนุกเท่านั้น และส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจส่วนอื่น
แต่ถึงแม้จะเกิดความเสียหายอย่างรุนแรงกับธุรกิจทั่วโลกของดิสนีย์ นักลงทุนจำนวนหนึ่งก็เริ่มกลับมามีมุมมองที่ดีเกี่ยวกับหุ้นของบริษัทดังกล่าวโดยคาดหวังในธุรกิจวีดีโอสตรีมมิ่งตัวใหม่ของบริษัทและการค่อยๆ กลับมาดำเนินกิจการความบันเทิงต่างๆ อีกครั้ง
หุ้นดิสนีย์หลังจากตกลงมามากกว่า 40% เมื่อกลางเดือนมีนาคมสามารถฟื้นกลับมายืนได้ได้อีกครั้งแล้ว หุ้นดิสนีย์มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $118.66 ปรับตัวลดลง 17% ตลอดทั้งปี 2020
ความหวังของดิสนีย์ในสถานการณ์ตอนนี้คือบริการวีดีโอสตรีมมิ่งใหม่ล่าสุดในชื่อ Disney+ ที่สามารถทำกำไรให้กับบริษัทในช่วงที่ผู้บริโภคต้องอยู่แต่ภายในบ้านของตัวเอง ส่งให้บริการดังกล่าวขยายฐานลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ได้รับความสนใจและมีสมาชิกแล้วมากกว่า 56 ล้านบัญชีตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน แม้ว่า Disney+ ยังต้องบริหารเงินแบบระยะสั้นอยู่แต่ก็ยังอยู่ในภาวะการเติบโตที่เข้มแข็งและสามารถกลายเป็นภาคธุรกิจที่สร้างรายได้ก้อนใหญ่ให้กับบริษัทได้ในโลกหลังจากการมีโรคระบาดแพร่กระจาย
จากบันทึกล่าสุดของโกลด์แมน แซคส์ นักลงทุนจำนวนหนึ่งยังประเมินการเติบโตของ Disney+ ต่ำเกินไป เพราะบริษัทคาดการณ์ว่าจะสามารถขยายฐานผู้ใช้งานได้ถึง 150 ล้านบัญชีสมาชิกภายในปี 2025 โกลด์แมนได้ปรับเป้าหมายราคาของหุ้นดิสนีย์ในปัจจุบันขึ้นเป็น $137 ซึ่งนั่นเป็นจำนวนที่มากกว่าจุดปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่แล้วถึง 14%
“เราคาดการณ์ว่าสวนสนุกและสตูดิโอทั้งหลายของดิสนีย์จะกลับมาฟื้นตัวเต็มที่หลังจากสถานการณ์โควิดจบลง การบริการถึงลูกค้าโดยตรงได้รับความคาดหวังจากนักลงทุนน้อยเกินไป” Brett Feldman นักวิเคราะห์ตลาดท่านหนึ่งจากโกลด์แมน แซคส์ได้กล่าวแก่ลูกค้าของเขา
สัปดาห์ก่อนดิสนีย์ในฐานะผู้ให้บริการสวนสนุกรายใหญ่ที่สุดในโลกได้เปิดสวนสนุก Magic Kingdom และ Animal Kingdom ในฟลอริดาแก่ผู้คนทั่วไปอีกครั้งหลังจากการปิดตัว 4 เดือนที่ผ่านมา
“เมื่อเรากลับมาเปิดระบบจองตั๋ว พวกเราพอใจกับจำนวนการจองมาก เราพบว่าตัวเลขดังกล่าวไม่ใช่เพียงตัวเลขระยะสั้น แต่ยังมีจำนวนต่อเนื่องไปจนถึงปี 2021” Josh D’Amaro ประธานบริหาร Disney Parks ได้กล่าวในการสัมภาษณ์กับ Bloomberg TV
“ลูกค้าของเราไว้ใจเรา พวกเขาไว้ใจว่าดิสนีย์จะยังสามารถมอบบรรยากาศและประสบการณ์ราวกับมีเวทย์มนต์ได้ดังเดิมอยู่”
สตาร์บัคส์กับการปรับโครงสร้างใหม่อย่างเต็มกำลัง
อีกหนึ่งในหุ้นยักษ์ใหญ่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปัจจุบันมีอนาคตที่ไม่แน่นอนคือแฟรนไชส์ร้านกาแฟที่โด่งดังอย่างสตาร์บัคส์เพราะการระบาดของเชื้อไวรัสเปลี่ยนวิถีการซื้อกาแฟและการใช้ร้านอาหารไปอย่างสิ้นเชิง
หุ้นของบริษัทดังกล่าวตกลงราว 15% แล้วตั้งแต่ปี 2020 โดยลดลงน้อยกว่าหุ้นร้านค้าอื่นๆ หุ้นของสตาร์บัคส์มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $72.73 และจ่ายเงินปันผลรายปีที่ 2.21%
จากแนวทางล่าสุดของบริษัท มีการคาดการณ์ยอดขายไตรมาสสองว่าจะลดลงประมาณ 320 ล้านเหรียญสหรัฐและรายได้จากร้านขายปลีกจะลดลงราว 220 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงเวลาดังกล่าว โอกาสทางธุรกิจสำหรับธุรกิจอาหารต่างๆ รวมถึงสตาร์บัคส์ด้วยนั้นยังไม่แน่นอนในโลกหลังการแพร่ระบาดของไวรัสเพราะผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคและหลีกเลี่ยงการเข้าร้านอาหารในระยะยาวได้
อย่างไรก็ตามสตาร์บัคส์เป็นบริษัทที่มีวิสัยทัศน์และปรับหาวิธีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ เพื่อต่อสู้กับการตกต่ำของยอดขายที่เกิดจากโควิด-19 สตาร์บัคส์วางแผนที่จะเร่งมือพัฒนาให้ร้านของพวกเขากลายเป็นร้านสำหรับซื้อกลับบ้านมากขึ้น ปรับขนาดให้ร้านเล็กลงและไม่มีที่นั่งสำหรับลูกค้า นี่คือสิ่งที่บริษัทได้กล่าวกับนักลงทุนในสัปดาห์ก่อน
“เดิมทีเราวางแผนว่าจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของร้านในลักษณะดังกล่าวภายในเวลา 3-5 ปี แต่ความพึงพอใจของผู้บริโภคนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงนี้จึงจะทำมาซึ่งการปรับใช้แผนดังกล่าวที่เร็วขึ้น การระบาดได้บีบให้สตาร์บัคส์ต้องทบทวนแนวคิดเกี่ยวกับการเป็นที่พักผ่อนที่เป็นเหมือนสถานที่หลักที่สามนับจากบ้านและที่ทำงาน” - สตาร์บัคส์กล่าว
สตาร์บัคส์คาดการณ์ว่าจะเปิดร้านรูปแบบใหม่อีก 300 สาขาในอเมริกาภายในปีงบประมาณนี้โดยมีจำนวนร้านน้อยลงกว่าเดิมครึ่งหนึ่งเทียบกับการประเมินครั้งก่อน นอกจากนี้ยังรวมถึงการปิดร้านที่เคยดำเนินการอยู่อีกกว่า 400 ร้านในช่วง 18 เดือนข้างหน้าพร้อมกับเปิดร้านรูปแบบใหม่ในทำเลใหม่ที่ทำให้ร้านจะเปลี่ยนแปลงเป็นรูปแบบแห่งอนาคต
โดยสรุปแล้ว
หุ้นดิสนีย์และสตาร์บัคส์คือตัวเลือกที่น่าสนใจและเราแนะนำให้นักลงทุนฉวยโอกาสจากวิกฤตในปัจจุบันเข้าถือหุ้นดังกล่าวไว้ในระยะยาว ทั้งสองบริษัทดังกล่าวมีสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งและภาพลักษณ์ที่ดีที่จะนำให้พวกเขาสามารถก้าวผ่านการหดตัวทางเศรษฐกิจปัจจุบันและฟื้นตัวกลับมาเมื่อการแพร่ระบาดสามารถควบคุมได้
ในขณะเดียวกัน เป็นที่ชัดเจนว่ารายได้ของบริษัทจะยังไม่กลับมาเป็นปกติจนกว่าจะมีการรักษาไวรัสโคโรนาได้ทั่วโลก ดังนั้นสำหรับนักลงทุนที่มองในระยะยาวระดับ 5 ปีหรือมากกว่านั้นทั้งดิสนีย์และสตาร์บัคส์ถือว่าเป็นหุ้นที่น่าลงทุน