เหลือเวลาอีกไม่ถึงสัปดาห์แล้วก่อนที่ช่วงเทศกาลการรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของปี 2020 จะมาถึง นักลงทุนต่างกำลังรอตั้งรับดูตัวเลขผลประกอบการที่นักวิเคราะห์ว่ากันว่าจะเป็นการรายงานตัวเลขฯ ที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 2008-2009 เลยทีเดียว
ข้อมูลจาก FactSet เผยว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ผลประกอบการจากดัชนีหลักอย่าง S&P 500 จะร่วงลงมากถึง 43.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 หากว่าเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์จริงปีนี้จะเป็นประวัติศาสตร์การรายงานตัวเลขผลประกอบการของดัชนี S&P 500 แบบปีต่อปี (YoY) ที่ลดลงมามากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2008 เลยซึ่งตอนนั้นดัชนี S&P 500 ทำสถิติเอาไว้ที่ 69.1%
นักวิเคราะห์มองว่าผลประกอบการจากบริษัทที่อยู่ในทั้ง 11 กลุ่มหุ้นบน S&P 500 นำโดยกลุ่มพลังงาน สินค้าฟุ่มเฟือย อุตสาหกรรมและภาคการเงินล้วนแล้วแต่จะต้องมีตัวเลขออกมาลดลงไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของยอดขายที่คาดว่าจะลดลง 11.1% และการคาดการณ์ผลกำไรที่บริษัทสามารถทำได้ จากทั้งหมด 11 กลุ่มเราคัดมาเหลือ 3 กลุ่มหุ้นที่ดูแล้วน่าจะเป็นกลุ่มที่ตัวเลขผลกำไรลดลงมากที่สุด
1. หุ้นกลุ่มพลังงาน: ผลกระทบจากราคาน้ำมันตกต่ำส่งผลถึงผลกำไรที่ลดลง
- คาดการณ์ตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) ในไตรมาสที่ 2: -148.2% แบบปีต่อปี
- คาดการณ์ตัวเลขผลกำไรในไตรมาสที่ 2: -42.2% แบบปีต่อปี
อ้างอิงข้อมูลจาก FactSet หุ้นกลุ่มพลังงานคือกลุ่มที่นักวิเคราะห์มองว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นแบบปีต่อปีจะลดลงมากที่สุดถึง -148.3% เมื่อเทียบกับตัวเลขของไตรมาสที่ 2 ปี 2019 และถือเป็นอีกกลุ่มหุ้นที่ต้องเผชิญกับการลดลงของตัวเลขผลกำไรแบบปีต่อปีมากที่สุดนับตั้งแต่ FactSet เริ่มเก็บข้อมูลมาตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2008 นอกจากนี้ตัวเลขผลกำไรที่คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลง -42.2% แบบปีต่อปียังถือเป็นตัวเลขที่มากที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินในไตรมาสที่ 2 ปี 2008 ที่ติดลบมากถึง 45.3% และราคาน้ำมันดิบยังไม่สามารถขึ้นสูงเกินกว่าระดับราคา $40 ได้
2 บริษัทที่เราคาดว่าตัวเลขที่ออกมาจะแย่ที่สุดคือบริษัท Marathon Petroleum (NYSE:MPC) และ Exxon Mobil (NYSE:XOM) ข้อมูลจากนักวิเคราะห์ระบุว่าตัวเลขผลกำไรต่อหุ้นของบริษัท Marathon จะลดลงเหลือ $1.41 ต่อหุ้นจากตัวเลขเดิมของปีที่แล้วซึ่งเคยอยู่ที่ $1.73 ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนของบริษัท Exxon Mobil จะลดลงเหลือ $0.55 ต่อหุ้นจากตัวเลขเดิม $0.61
อีกหนึ่งบริษัทชื่อดังที่เราเชื่อว่าจะได้เห็นตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นลดลงคือบริษัท Chevron (NYSE:CVX) ที่คาดว่าจะลดลงจาก $2.28 ต่อหุ้นในช่วงเวลาเดียวกันปี 2019 เหลือ $0.81 ในปีนี้
หากนับตั้งแต่จุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 31 มีนาคมจนถึงปัจจุบันจะพบว่าหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งสิ้นมากกว่า 25%
2. หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย: ได้รับผลกระทบทางยอดขายจากโควิด-19 เต็มๆ
- คาดการณ์ตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) ในไตรมาสที่ 2: -119.0% แบบปีต่อปี
- คาดการณ์ตัวเลขผลกำไรในไตรมาสที่ 2: -19.6% แบบปีต่อปี
หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยถือเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่คาดว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นจะลดลงมากถึง -119% เชื่อว่า 10 จาก 11 บริษัทย่อยที่อยู่ในกลุ่มนี้จะรายงานตัวเลขผลประกอบการแบบปีต่อปีที่ลดลงมากถึง 60% นำโดยกลุ่มยานยนต์ กลุ่มโรงแรม ร้านอาหารและการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะได้เห็นตัวเลขกำไรหายไปมากถึง -192% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปี 2019
นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรจากหุ้นกลุ่มโรงแรมจะหดตัว -19.6% ในขณะที่ร้านอาหารและการท่องเที่ยวจะมีกำไรหดตัวมากถึง 60% บริษัทที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวซึ่งตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มีให้เห็นไล่ไปตั้งแต่ Wynn Resorts (NASDAQ:WYNN) (เหลือ -$4.57 จาก $1.44) Norwegian Cruise Lines (NYSE:NCLH) (เหลือ -$2.18 จาก $1.30) และ Royal Caribbean Cruises (NYSE:RCL) (เหลือ -$4.56 จาก $2.54)
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดังอย่าง General Motors (NYSE:GM) (เหลือ -$1.76 จาก $1.64) และ Ford Motor (NYSE:F) (เหลือ -$1.25 จาก $0.28) เชื่อว่าจะไม่รอดเช่นกัน ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือบริษัทชื่อดังอย่าง Amazon (NASDAQ:AMZN) เองนักวิเคราะห์ก็คาดว่าจะต้องได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน พวกเขาคาดว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นแบบปีต่อปีของแอมะซอนจะลดลง 73% จาก $5.22 ต่อหุ้นเหลือ $1.37 เหตุผลที่นักวิเคราะห์เชื่อว่าแอมะซอนจะได้รับผลกระทบมาจากค่าใช้จ่ายจำเป็นมูลค่า $4,000 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงโควิด-19
หากนับตั้งแต่จุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 31 มีนาคมจนถึงปัจจุบันจะพบว่าหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งสิ้นมากกว่า 35%
3. หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม: สายการบินยังไม่ฟื้น
- คาดการณ์ตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) ในไตรมาสที่ 2: -89.0% แบบปีต่อปี
- คาดการณ์ตัวเลขผลกำไรในไตรมาสที่ 2: -27.4% แบบปีต่อปี
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมคือกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับ 2 กลุ่มแรกโดยมีรายแบบปีต่อปีลดลง -89% กลุ่มที่คาดว่าจะเป็นแกนนำในการลดลงมากกว่า 50% ได้แก่กลุ่มสายการบิน (-351%) กลุ่มอุตสาหกรรมรวมกิจการ (-71%) กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักร (-66%) และกลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้า (-51%)
ตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรแบบปีต่อปีที่ลดลง -27.4% ถือเป็นตัวเลขที่มากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2008 ซึ่งในตอนนั้นก็เป็นหุ้นกลุ่มสายการบินที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดอยู่ที่ -87% สายการบินที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบในคราวนี้เรียงกันมาเลยตั้งแต่ Delta (NYSE:DAL) (เหลือ -$4.43 จาก $2.35) Southwest (NYSE:LUV) (เหลือ -$2.77 จาก $1.37) และ Alaska Air (NYSE:ALK) (เหลือ -$3.94 จาก $2.17)
หากนับตั้งแต่จุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 31 มีนาคมจนถึงปัจจุบันจะพบว่าหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งสิ้นมากกว่า 15.8%