หลังจากที่ ERW ได้หยุดให้บริการโรงแรมในประเทศและที่ฟิลลิปปินส์ไปเมื่อเดือนมี.ค.-เมย. เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่สามารถเข้าประเทศได้ ในขณะที่ทางการฟิลลิปปินส์ได้ขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการโรงแรมปิดบริการ โดยที่ในปัจจุบัน Hop Inn ฟิลลิปปินส์ยังคงปิดให้บริการ แต่คาดว่าจะกลับมาเปิดอีกครั้งราวเดือนก.ค. 2563 ในขณะที่โรงแรมในประเทศได้กลับมาให้บริการอีกครั้งหลังจากที่ทางการไทยได้ปลด Lockdown บางส่วน เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2563
Hop Inn ในประเทศได้กลับมาให้บริการครบทุกแห่งแล้ว และมีอัตราเข้าพักที่ 60% ด้านโรงแรมในต่างจังหวัดอย่าง Mercure & Ibis Pattaya และ Ibis Huahin ได้กลับมาให้บริการแล้ว และมีอัตราเข้าพักในช่วงวันหยุดที่ 90-100% ในขณะที่วันธรรมดาอยู่ที่ราว 20-30%
โรงแรมที่ยังไม่เปิดให้บริการได้แก่ Hyatt Erawan, JW Marriot และ Naka Phuket ซึ่งทั้ง 3 แห่งนี้เดิมมีสัดส่วนลูกค้าหลักเป็นชาวต่างชาติ จึงคาดว่าจะชะลอการให้บริการออกไปก่อน
อัตราการเข้าพักของโรงแรมในต่างจังหวัดโดยเฉพาะที่อยู่ใกล้กรุงเทพ สามารถขับรถไปได้อย่างพัทยาและหัวหินได้มีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และคาดว่าจะดีต่อเนื่องโดยเฉพาะช่วงวันหยุด
รับอานิสงส์มาตรการท่องเที่ยวไปเต็มๆ
ERW เป็นบริษัทที่เป็น Pure Hotel Player ที่ได้รับอานิสงส์สูงสุดจากมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว “เที่ยวปันสุข” 3 มาตรการ โดยเรามองว่าในส่วนของมาตรการ “เราไปเที่ยวด้วยกัน” จะเป็นมาตรการที่ตรงกลุ่มลูกค้าของ ERW มากที่สุด เนื่องจากเป็นมาตรการที่จะช่วยกระตุ้นให้คนออกไปเที่ยว
ERW มีสัดส่วนรายได้จากโรงแรมในต่างจังหวัดที่ 38% ซึ่งคาดว่าโรงแรมในต่างจังหวัดจะเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมจากมาตรการมากที่สุด
ERW มี Hop Inn 40 แห่ง จาก 34 จังหวัดในประเทศ ซึ่งมีราคาต่อคือต่ำกว่า 1,000 บาท เราคาดว่า Hop Inn จะเป็นกลุ่มโรงแรมที่ได้รับความนิยมสูงจากการปลดล๊อคมาตรการต่างๆและจากมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว
คาดว่า ERW จะนำโรงแรมทุกแห่งในเข้าร่วมโครงการ
ปรับคาดการณ์ปี 2563-2564 ลง
เราปรับคาดการณ์รายได้ปี 2563-2564 ลง 10.9% และ 11.55% ลงตามลำดับ และปรับขาดทุนปี 2563 จาก 799 ล้านบาท เป็นขาดทุน 964 ล้านบาท และกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 180 ล้านบาท เป็นขาดทุน 11 ล้านบาท เนื่องจากเราคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่หากยังไม่มีการพัฒนา Vaccine สำเร็จ และแม้ว่า ERW จะเป็น Pure Hotel Player ที่ได้รับอานิสงส์สูงสุดจากมาตรการท่องเที่ยว แต่เนื่องจากเป็นเพียงมาตรการระยะสั้นเพียง 4 เดือนเท่านั้น เราจึงมองว่ามาตรการนี้จะช่วยพยุงหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวในระยะสั้นเท่านั้น
ยังคงแนะนำ “ถือ” ที่ราคาเป้าหมาย 3.42 บาท (BK: กดดูความเคลื่อนไหวหุ้น ดิ เอราวัณ กรุ๊ป - ERW)
เนื่องจาก ERW ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 โดยตรงและเราคาดว่าผลกระทบจะยาวนานกว่าที่เคยคาดการณ์ เราจึงปรับมาใช้ราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 3.42 บาท/หุ้น จากการอิง EV/EBITDA ที่ 13.5X (-0.5SD) อย่างไรก็ดี เนื่องจากราคาหุ้น ERW ได้ปรับตัวขึ้นมา 94% จากจุดต่ำสุดเมื่อกลางเดือนมี.ค. 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่จำนวนเคสอขง COVID-19 ทั่วโลกพุ่งตัวอย่างน่ากลัว รวมทั้งการเกิด Second Wave ของ COVID-19 ในหลายประเทศและความหวังของ Travel Bubble (การจับคู่การเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19) คาดว่าจะเลื่อนออกไปก่อนเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิด Second Wave ในประเทศ
เราจึงยังคงนะนำ “ถือ” เพื่อรอการฟื้นตัวของกลุ่มท่องเที่ยวที่คาดว่าจะกลับมาอย่างเร็วในปี 2565
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities
ห้ามพลาด