“ความอดทนนั้นขมขื่น แต่ผลของมันหวานชื่นเสมอ”
30 ปี เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน แต่ถ้าเรายังไม่สิ้นศรัทธา วันหนึ่งเราก็จะประสบความสำเร็จ
เหมือนอย่างวันนี้ของ “Liverpool” กับการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019/20
เราจะมาถอดรหัสความสำเร็จของ Liverpool ที่สามารถนำมาใช้ในการลงทุนกันครับ
1.เปลี่ยน “ความสงสัย” ให้กลายเป็น “ความเชื่อ”
ย้อนไปเดือนตุลาคม ปี 2015 เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ารับตำแหน่งคุมทีมลิเวอร์พูล เขาได้พูดไว้ประโยคหนึ่งว่า “We have to change from doubter to believer” เพราะในเวลานั้น ทีมกำลังระส่ำระสาย นักเตะชื่อดังหลายคนก็ทยอยออกจากทีม หนทางดูไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาเป็นแชมป์ได้เมื่อไหร่ แต่สิ่งที่คล็อปป์บอกกับทุกคนคือ เราต้องเปลี่ยนจากผู้ที่สงสัยให้กลายเป็นผู้ที่มีความเชื่อก่อน เชื่อว่าเราทำได้
การลงทุนก็เช่นกัน หลายคนเคยผิดพลาด ขาดทุนซ้ำแล้วซ้ำเล่า โทษตัวเองก็หลายหน โทษตลาดก็หลายที คิดว่าเราคงไม่มีวันประสบความสำเร็จกับถนนสายนี้แน่ๆ อยากให้ลองเลิกสงสัยตัวเองดูซักครั้งครับว่าเราไม่เก่งใช่มั้ย เราไม่มีทางสำเร็จใช่มั้ย ลองเปลี่ยนมาเชื่อกันดูบ้างว่า เราทำได้ เริ่มต้นที่เรื่องนี้ก่อน
2.ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน ถึงแม้มันจะดูเกินเอื้อม
Try to reach an unreachable goal … พูดแบบนี้คงจะไม่ผิดนัก ปี 2015 คล็อปป์ให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า เป้าหมายคือ จะพาลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ภายใน 4 ปี ผมเชื่อว่า วันนั้น ทุกคนอยากให้สิ่งที่เขาพูดเป็นจริง แต่ก็คงแอบคิดในใจว่า มันจะเป็นไปได้ยังไง เป้าหมายมันดูช่างห่างไกลกับสภาพความเป็นจริงเหลือเกิน
การลงทุนก็เช่นกัน ผมว่ามันสำคัญมากที่เราต้องรู้จุดหมายปลายทางก่อนว่าเรากำลังจะเดินไปทางไหน เราต้องการอะไรจากตลาดหุ้นแห่งนี้ เราต้องชัดเจนว่าเราต้องการผลตอบแทนเท่าไหร่ต่อปี แล้วถึงค่อยมาวางแผนในการไปถึงจุดนั้น
ผมชอบยกตัวเลข 2 ตัว คือ 15% กับ 26% เพื่อให้เห็นภาพชัด คือ ถ้าเราทำผลตอบแทนได้ปีละ 15% ทุก 10 ปี เงินต้นของเราจะคูณ 4 เช่น จาก 1 ล้าน กลายเป็น 4 ล้าน แต่ถ้าผลตอบแทน 26% ต่อปี ทุก 10 ปี เงินต้นของเราจะเปลี่ยนหลัก คือ มี 0 ต่อท้าย เช่น จาก 1 ล้าน กลายเป็น 10 ล้าน
Key Word สำคัญ ไม่ใช่ตัวเงิน แต่เป็นเรื่องของความชัดเจน มีเป้าหมายแต่ละปี และที่สำคัญต้องใช้ระยะเวลาในการบ่มเพาะความสำเร็จ
3.เสริมจุดเก่ง กำจัดจุดอ่อน
การเสริมทีมด้วยการมี 3 ประสานตัวรุก อย่าง ซาลาห์ ฟีร์มีโน่ และมาเน่ เป็นสิ่งที่ดีในการสร้างเกมส์รุก พังประตูคู่แข่งเป็นกอบเป็นกำ แต่ถ้าสุดท้าย โดนยิงมากกว่า ทีมก็แพ้เช่นกัน คล็อปป์ รู้ดีว่า ทีมเรามีจุดอ่อนที่กองหลังและผู้รักษาประตู และที่สำคัญเรามีงบจำกัด ทำให้เราต้องเฟ้นหา Key Man คนสำคัญจริงๆ ซึ่งสุดท้ายเราได้ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และ อลิสซอน เบ็คเกอร์ มาเป็นกำลังหลักทำให้ทีมพบกับชัยชนะในที่สุด
การลงทุนก็เช่นกัน เราต้องลองสำรวจตัวเองดูว่า เรามีจุดเด่นอะไร ตรงไหนที่เก่ง และเรามีจุดด้อยอะไร ตรงไหนที่อ่อน เราต้องเสริมจุดแข็งและปิดจุดอ่อนของเราให้ได้ เช่น เราอาจจะวิเคราห์เก่ง หาหุ้นดีได้ แต่ใจเราไม่นิ่ง ถือไม่ทน เราก็ต้องไปฝึกเรื่อง mindset เรื่องจิตวิทยา ขณะเดียวกันก็ขยันวิเคราะห์หุ้นให้หลากหลายให้เชี่ยวชาญมากขึ้น
4.Team Spirit สำคัญกว่า One Man Show
.
ต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว คือ ไม่ใช่เฉพาะแค่กองหลังหรือกองหน้า แต่เราจะสังเกตได้ว่า ลิเวอร์พูล ยุคนี้ ทุกคนมีความสำคัญเหมือนกันหมด ทุกคนช่วยกันเพื่อทีมหมด เราจะไม่ค่อยเห็นดราม่าในทีมมากนัก หรือการโทษกันในสนามก็มีไม่บ่อย เรียกได้ว่าทีมมีสปิริตดีมาก เล่นกันตามแผนตามระบบที่โค้ชวางแผนไว้
การจัดตัวหุ้นในพอร์ตให้ดีก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เราอาจจะหวังว่าถือหุ้นแบบ All in ตัวเดียวเต็มพอร์ต แล้วเปลี่ยนชีวิต ทำได้มั้ย ทำได้ แต่ว่าความเสี่ยงก็สูงที่ถ้าไม่รวยเลยก็อาจจะหมดตัวได้เช่นกัน .
ถ้าเราวางแผนแบบเลือกตัวผู้เล่นที่สำคัญ 5 ตัว 10 ตัว กระจายความเสี่ยงไปในแต่ละตัว อาจจะมีตัวที่เล่นท็อปฟอร์มบ้าง ตัวที่เล่นไม่ออกบ้าง แต่เชื่อว่าผลรวมของพอร์ตน่าจะดีกว่าเสี่ยงไปที่ตัวเดียวแล้วเกิดพลาดขึ้นมา รวยช้าหน่อยแต่ชัวร์น่าจะดีกว่า อย่าลืมว่าเราลงทุนทั้งฤดูกาลไม่ใช่นัดเดียวน็อคเอาท์
5.ยินดีกับทุกความสำเร็จ ไม่โทษกันเมื่อพ่ายแพ้
คล็อปป์มักจะกระโดดโลดเต้นชูกำปั้นด้วยความดีใจที่ทีมชนะ สวมกอดกับผู้เล่นทุกคนเมื่อจบเกมส์ หลายคนอาจแปลกใจทำไมบอสถึงดีใจมากมายกับการชนะทีมท้ายตาราง หรือทีมเล็กๆ ผมเชื่อว่าคล็อปป์อยากจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับทีม ให้กำลังใจกับทุกคน ไม่ว่าเราจะแข่งกับทีมไหนก็ตาม แต่ถ้าในมุมตรงกันข้าม เวลาแพ้ เราไม่เห็นคล็อปป์ด่าใครออกสื่ออย่างหนัก แต่จะเอาข้อผิดพลาดไปปรับแก้ไขแทน
เวลาเราลงทุนได้กำไร ให้กำลังใจตัวเอง ชื่นชมตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องกำไรหลักแสน หลักล้าน ถึงค่อยคิดว่าเราสำเร็จ บางทีกำไรหลักพัน หลักหมื่น แต่มันมาจากกระบวนการคิดที่ถูกต้อง มาจากวิธีการที่ถูกทาง เราก็ชื่นชมตัวเองได้ ในทางตรงกันข้ามถ้าเราขาดทุน หรือผิดพลาด อยากให้หาสมุดมาจด เราจะได้รู้ว่า เราพลาดเพราะอะไร เราได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง คราวหน้าจะได้ไม่ทำอีก
6.ไม่จำเป็นต้อง Perfect แพ้บ้างก็ได้
บางคนเห็นทีมชนะติดต่อกันมาตลอด จนตั้งความหวังไปมากกว่าการเป็นแชมป์ว่า เราอาจจะเป็นแชมป์ไร้พ่าย หรือ The Invincible แต่สุดท้ายเราก็แพ้นัดแรกต่อวัตฟอร์ด คล็อปป์บอกว่า เราเล่นกันได้ไม่ดีพอ แต่ในเกมส์ลูกหนังสักวันเราก็ต้องแพ้ ซึ่งผมว่า มันก็เป็นเรื่องที่ดีนะ คือจะได้ไม่กดดัน และการเป็นแชมป์ไร้พ่ายมันอยู่นอกเหนือจากเป้าหมายของเราอยู่แล้ว
การลงทุน เราก็ไม่จำเป็นต้องกำไรทุกครั้งที่ซื้อหุ้น แพ้บ้างก็ได้ แต่ครั้งที่ชนะต้องได้มากกว่าแพ้ หรือพอร์ตรวมเราต้องกำไรมากกว่าขาดทุน เหมือนที่เขาบอกว่า แพ้ศึกได้ แต่ต้องชนะสงคราม
7. Never Give Up … อย่ายอมแพ้
ถึงแม้จะบอกว่าแพ้บ้างก็ได้ แต่เราก็จำเป็นต้องสู้ให้ถึงที่สุดซะก่อน เราเห็นการโกงความตายอยู่หลายเกมส์ของลิเวอร์พูล เจียนอยู่เจียนไปจะแพ้อยู่รอมร่อ แต่ The Kop ปีนี้สู้ไม่ถอย ได้ประตูท้ายเกมส์บ่อยครั้งจนนำมาซึ่งผลเสมอหรือชัยชนะ หรือในการป้องกันประตู ช็อตที่จำได้ติดตาคือ เจมส์ มิลเนอร์ วิ่งแบบลืมตายมาสกัดบอลออกจากเส้นประตู แม้จะอายุอานามปาเข้าไป 34 ปีแล้ว
การลงทุน เราโชคดีที่ตลาดหุ้นน่าจะยังอยู่กับเราไปอีกนาน กรรมการไม่เป่าหมดเวลา มีแต่เราจะถอดใจหรือเงินหมดออกจากตลาดไปซะก่อนมากกว่า เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะรู้สึกว่า แทบจะยืนไม่ไหวแล้ว ทำไมมันหนักขนาดนี้ อย่าเพิ่งยอมแพ้นะครับ ความสำเร็จอาจจะอยู่อีกแค่ไม่กี่ก้าวถ้าเราพยายามเดินหรือคลานต่อไป
Liverpool เริ่มต้นด้วยความเชื่อว่าทำได้ วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย ก้าวข้ามและเรียนรู้จากความเจ็บปวด จนวันนี้พวกเขาทำสำเร็จ ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกในรอบ 30 ปี
ถ้า Liverpool ทำได้ แล้วทำไม เราจะลงทุนให้ประสบความสำเร็จบ้างไม่ได้
เปลี่ยนความสงสัยให้กลายเป็นความเชื่อครับว่า
The Normal One อย่างเราก็ทำได้
และที่สำคัญ คุณจะไม่มีวันเดินอย่างเดียวดาย เพราะวิตามินหุ้น จะเดินเคียงข้างคุณ
#LIVERPOOL #YNWA #วิตามินหุ้น
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกทาง Stock Vitamins-วิตามินหุ้น
...
ห้ามพลาดครับ