พราะเครื่องยนต์ที่เคยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าไม่ว่าจะเป็น การส่งออก อุตสาหกรรม การเกษตร เกิดอาการ “เดี้ยง” มาหลายปีด้วยปัญหาสะสมหลายประการ จนเหลือเพียงเครื่องยนต์เดียวที่ช่วยประคับประคองประเทศไทยให้อยู่รอดในระยะหลังคือ “การท่องเที่ยว”
จะว่าโชคช่วยหรือฝีมือบวกกับธรรมชาติและวัฒนธรรมไทยที่เอื้ออำนวย ทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางเข้าไทยปีละเกือบ 40 ล้านคน (เฉพาะจีนเกือบ 11 ล้านคน) ทำรายได้เข้าประเทศปีละประมาณ 2 ล้านล้านบาท ขณะที่มีรายได้จากไทยเที่ยวไทยกันเองในประเทศปีละประมาณ 1 ล้านล้านบาท รวมรายได้ท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาทมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 5 ของ GDP
ที่ผ่านมาแม้จะเจอสารพัดวิกฤติ ทั้งสงครามที่ใช้อาวุธ สงครามการค้า ราคาน้ำมันพุ่ง ค่าเงินผันผวน เสื้อเหลืองยึดสนามบิน เสื้อแดงยึดราชประสงค์ ทหารลุกขึ้นมาปฏิวัติล้มรัฐบาลเลือกตั้ง ฯลฯ นักท่องเที่ยวอาจตกใจบ้างแต่สุดท้ายก็กลับมาใหม่และเพิ่มขึ้นทุกปี รายได้ 3 ล้านล้านบาท ทำให้เกิดการลงทุนต่อเนื่อง เกิดจ้างงานทั้งก่อสร้าง ภาคบริการและกระจายถึงชุมชนถึงระดับรากหญ้าให้พอเลี้ยงชีวิตแม้ภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่แจ่มใส
แต่โชคและฝีมือก็ไม่อาจสู้ COVID-19 หรือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่อุบัติขึ้นเมื่อต้นปี 2563 เริ่มจากจีนและแพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว จนวันนี้มีผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกทะลุ 9 ล้านคน เสียชีวิต 4.7แสนคน(ข้อมูล ณ 22 มิถุนายน 2563) โดยยังไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไรเพราะบางวันมีผู้ติดเชื้อใหม่มากกว่า 1.5 แสนคน
COVID-19 นอกจากเป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษยชาติแล้วยังฉุดกระชากเศรษฐกิจทั่วโลกลงพร้อมกันทั่วหน้าในเวลาอันสั้น
ทั้งหลายทั้งปวงก็เพราะความกลัวในการต่อสู้กับภัยร้ายที่มองไม่เห็น ทุกประเทศสั่งปิดพรมแดน สั่งหยุดการขนส่งคมนาคม สั่งหยุดธุรกรรมและกิจกรรม ถึงขั้นล็อคดาวน์ประเทศเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัส แน่นอนว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วทั้งโลกได้รับผลโดยทันทีและลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน
วันนี้สายการบินขนาดใหญ่หลายแห่งล้มละลาย โรงแรมดังที่มีเครือข่ายทั่วโลกปิดกิจการ โรงแรม, รีสอร์ท, เกสท์เฮ้าส์ขนาดกลางขนาดเล็กที่สายป่านสั้นประกาศขายกิจการ ร้านอาหาร สถาบันเทิงหลายแห่งปิดไม่มีกำหนด ผลปลายทางที่เหมือนกันคือพนักงานลูกจ้างถูกลอยแพเลิกจ้าง
ความเสียหายจาก COVID-19 นักวิชาการหลายสำนักประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 ติดลบแน่นอน 8-10% ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลที่บริหารบ้านเมืองจะมีปัญญากอบกู้สถานการณ์แค่ไหน
ในขณะที่นักการเมืองกำลังเล่นเกมแย่งเก้าอี้รัฐมนตรี นักธุรกิจผู้ประกอบการภาคท่องเที่ยวได้ลุกขึ้นเรียกร้องให้รัฐบาลเริ่มเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวได้แล้ว เพราะวันนี้ประเทศไทยปลอดภัยไร้ COVID-19 มาร่วมเดือน และหลายประเทศก็เริ่มแนวคิดหาทางออก Travel Bubble “จับคู่” หรือ “จับกลุ่ม” ท่องเที่ยว เพื่อให้ภาคเศรษฐกิจได้กลับมาสูดลมหายใจกันอีกครั้ง
อธิบายสั้นๆว่า Travel Bubble คือการทำความตกลงระหว่างประเทศอาจเป็นคู่หรือเป็นกลุ่ม ในการเปิดการท่องเที่ยวระหว่างกันบนพื้นฐานความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยจาก COVID-19 โดยต่างยอมรับในเงื่อนไข กฎ กติกา การเข้า-ออกประเทศ การท่องเที่ยว การปฏิบัติตามระเบียบของแต่ละฝ่ายโดยสมัครใจ
ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าหลายประเทศที่ติดเชื้อ COVID-19 ต่ำหรือควบคุมได้แล้วกำลังเตรียมเปิดTravel Bubble เช่น ออสเตรเลีย กับ นิวซีแลนด์ ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ญี่ปุ่นกับเวียดนาม เจรจากันแล้วอาจจะเริ่มในปลายเดือนมิถุนายน หรือกลุ่มยุโรปริมทะเลบอลติกอย่าง ลัตเวีย-ลิทัวเนีย-เอสโตเนีย ที่ติดเชื้อน้อยเสียชีวิตน้อยก็คิดว่าน่าจะท่องเที่ยวระหว่างกันได้
รัฐบาลไทยก็แสดงความสนใจในเรื่องนี้โดยมอบหมาย 4 กระทรวงหลักคือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงมหาดไทย ร่วมศึกษาวางแนวทางและเจรจากับประเทศเป้าหมาย อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน
แต่เรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด เงินจากนักท่องเที่ยวน่ะอยากได้ แต่ไวรัสที่มองไม่เห็นตัวนั้นน่ากลัวกว่ามาก ถึงวันนี้ผู้ใหญ่ในศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.)ก็ยังไม่กล้าฟันธงตัดสินใจว่จะเริ่มกันได้เมื่อไหร่
ยิ่งองค์กรอนามัยโลก(WHO) เพิ่งแถลงเตือนว่าทุกประเทศยังต้องให้ประชาชนระมัดระวังป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง เพราะหลายประเทศกลับมาระบาดในระลอกที่ 2 ยิ่งเห็นตัวเลขคนติดเชื้อคนตายยังเพิ่มสูงทุกวันทางฝั่งตะวันตกก็ยิ่งไม่น่าวางใจ
ข่าวล่าสุด ออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์ ก็ไม่แน่แล้วต้องชะลอออกไปก่อน เพราะที่นิวซีแลนด์พบมีผู้ติดเชื้อรายใหม่หลังจากไม่พบ 24 วัน ส่วนที่ออสเตรเลีย รัฐวิกตอเรียเพิ่งขยายภาวะฉุกเฉินถึงวันที่ 19 กรกฎาคม รัฐบาลท้องถิ่นบางรัฐประกาศไม่รับนักท่องเที่ยวจนถึงปีหน้า
ที่จีนซึ่งเคยมั่นใจว่าเอาชนะCOVID-19 ได้แล้ว ต้องกลับมาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินภาวะสงครามคุมกรุงปักกิ่งหลังพบการระบาดจากตลาดค้าส่งของสด “ซินฟาตี้” ส่วนที่ญี่ปุ่นซึ่งกำลังเจรจากับหลายประเทศก็เจอการกลับมาระบาดที่ย่านบันเทิงชินจูกุ กลางกรุงโตเกียว
เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลไทยบอกว่จะหยิบยกเรื่อง Travel Bubble เข้าหารือในการประชุมผู้นำอาเซียนวันที่ 26 มิถุนายนนี้ผ่านระบบปะชุมทางไกล โดยจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ สนใจอยากร่วมทำความตกลงนี้ แต่ดูสมาชิกอาเซียนหลายประเทศแล้วอาการยังน่าเป็นห่วง
ประเทศอินโดนีเซีย ติดเชื้อใหม่วันละกว่า 1,000 คน จนมียอดสะสมกว่า 45,000 คน เสียชีวิตกว่า 2,400คน สิงคโปร์แม้จะเสียชีวิตน้อยแค่ 26 คน แต่ยอดติดเชื้อสะสมกว่า 42,000 คน ฟิลิปปินส์ติดเชื้อระดับ 30,000 คน เสียชีวิต 1,169 คน มาเลเซียแม้จะรักษาหายเยอะแล้วจากยอดติดเชื้อ 8,556 คน แต่ก็ยังมีติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันเป็นเลข2หลัก
คงจะปลอดภัยเฉพาะในกลุ่ม CLMVT ที่วันนี้แต่ละประเทศสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
ในเสียงเรียกร้องที่เป็นรูปธรรมนั้น หอการค้าไทย-จีน เสนอเริ่มเชื่อมการท่องเที่ยวกับจีนแบบเมืองต่อเมือง จังหวัดกับจังหวัด คัดเฉพาะพื้นที่ที่ปลอดภัยก่อน
แต่หอการค้าภูธรอย่างหอฯนครราชสีมาบอกว่าควรสนับสนุนไทยเที่ยวไทยก่อนดีกว่าไหมในช่วงไตรมาส 3 ส่วน Travel Bubble เอาไว้ทำตอนไตรมาส 4 กับประเทศเพื่อนบ้านที่ปลอดภัย
แนวคิดที่เห็นพ้องต้องกันยามนี้คือ อย่าใจร้อน เริ่มต้นจากกลุ่มผู้เดินทางเข้ามาประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่นนักธุรกิจ ช่างผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิ คนทำงานที่มีใบอนุญาต อาจารย์ นักศึกษา ยอดรวมประมาณ 50,000 คน ให้ทยอยเดินทางเข้ามาก่อนแบบมีเงื่อนไขและมาตรการคัดกรองอย่างเข้มงวด
ส่วนTravel Bubble ต้องมีมาตรการชัดเจนที่อธิบายต่อสังคมได้ นับแต่กระบวนการคัดกรองจากประเทศต้นทางก่อนออกเดินทางมาไทย การคัดกรองก่อนเข้าประเทศ ควบคุมกำหนดการท่องเที่ยวในประเทศเฉพาะพื้นที่อนุญาต ข้อกำหนดให้นักท่องเที่ยวต้องใส่หน้ากาก พกเจลแอลกอฮอล์ ล้างมือ การตรวจวัดไข้ทุกวัน การลงทะเบียนไทยชนะทุกสถานที่ โดยบริษัททัวร์และไกด์ต้องรับผิดชอบดูแลนักท่องที่ยวทุกคนอย่างใกล้ชิด
ต้องคิดไปจนถึงขั้นว่า หากระหว่างโปรแกรมทัวร์มีการตรวจพบเชื้อCOVID-19 จะทำอย่างไร วางมาตรการฉุกเฉินรองรับที่สามารถสกัดการแพร่ระบาดได้อย่างทันท่วงที
สวนดุสิตโพลล์ 75.72% ตอบว่ายังไม่ควรเปิด Travel Bubble
Travel Bubble เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้หนักคิดให้รอบคอบ ยังต้องยึดความปลอดภัยด้านสาธารณสุขคนไทยมาก่อนเม็ดเงินจากต่างประเทศ เพราะหากเม็ดเงินนั้นมาพร้อมเชื้อไวรัสโคโรนา แค่หลุดคนเดียวแล้วเชื้อแพร่กระจายมีผลให้ประเทศไทยต้องกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ สุดท้ายได้ไม่คุ้มเสีย
ห้ามพลาด
♦ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจTMB คาด "ไทยเที่ยวไทย" มีแนวโน้มดีขึ้นหลังคลายล็อกดาวน์