เราทุกคนทราบกันดีว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบตอนนี้ถือว่ายังมีมากเกินไปในตลาดแม้ว่าจะมีรายงานการลดกำลังการผลิตน้ำมันออกมาจากบริษัทผู้ผลิตฯ ในสหรัฐฯ กลุ่มโอเปกและรัสเซียแล้วก็ตาม รายงานจาก EIA เผยว่าทุกวันนี้ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังมีตัวเลขอยู่ที่ 1,400 ล้านบาร์เรลซึ่งมากกว่าช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคมและมากกว่าช่วงสิ้นปี 2019
แม้ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากน้ำมันดิบเช่นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในชีวิตประจำวันและพลังงานเชื้อเพลิงจะเริ่มฟื้นตัวแต่ในขั้นตอนของกระบวนการผลิตอย่างผู้กลั่นน้ำมันยังคงมีปัญหาอยู่ 3 ข้อหลักๆ ที่ไม่สามารถทำให้ราคาน้ำมันดิบสามารถกลับขึ้นไปยัง $50 ได้ ที่สำคัญปัญหาทั้ง 3 ข้อนี้คาดว่าจะยังอยู่ไปอีกสักระยะหนึ่ง
1. พลังงานที่ผลิตออกมาล้นตลาด
แม้ว่าผลิตภัณฑ์ด้านพลังงานที่มาจากการแปรรูปจะมีอยู่อย่างล้นตลาด ในตอนนี้เราก็ยังได้เห็นองค์กรที่ดูแลเกี่ยวกับพลังงานในประเทศต่างๆ ทั่วโลกรายงานว่าปริมาณของเชื้อเพลิงในรูปแบบต่างๆ ที่ถูกเก็บอยู่ในคลังยังมีอยู่มากจนเกือบจะใช้คำว่ามากเกินไปได้แล้ว
Pertamana บริษัทกลั่นน้ำมันของประเทศอินโดนิเซียประเมินว่าความคุ้มค่าในการเก็บน้ำมันดีเซลของบริษัทเหลือเวลาอยู่เพียง 42 วัน ส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไปเหลือเวลาอยู่อีก 28 วันซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วความสามารถในการกักเก็บเหลือเวลาอยู่อีกเพียง 20 วันเท่านั้น จากอินเดียมีรายงานว่ามีน้ำมันและพลังงานเชื้อเพลิงในรูปแบบต่างๆ ถูกเก็บไว้ในคลังมีระยะเวลายาวนานขึ้นจากปกติอยู่ที่ 7-10 วันเป็น 10-15 วัน
รายงานจาก API ของสหรัฐฯ เมื่อช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคมระบุว่าปริมาณของเชื้อเพลิงทั้งรูปแบบที่แปรรูปแล้วและยังไม่ได้แปรรูปที่กักเก็บไว้เพิ่มขึ้น 9.5% เมื่อเทียบกับตัวเลขของเดือนพฤษภาคมปี 2019 ส่วนรายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังทั้งจาก API และ EIA ในสัปดาห์นี้ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจนราคาน้ำมันดิบ WTI ถูกปรับลงมาต่ำกว่า $40 อีกครั้ง
แม้อุปสงค์โดยรวมจะถือว่ากลับมาแล้วแต่ก็ยังถือว่าต่ำกว่าเดิมเมื่อเทียบในช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้วถึง 18% ยิ่งโรงกลั่นผลิตพลังงานสำเร็จรูปออกมามากเท่าไหร่ก็ยิ่งให้เวลาในการทำให้พลังงานสำเร็จรูปเหล่านี้ลดลงมากเท่านั้น
2. อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นยังสูงอยู่
กระบวนการทำงานของโรงกลั่นน้ำมันดิบยังถือว่าลดกำลังการผลิตมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว เฉพาะเดือนพฤษภาคมในสหรัฐฯ มีรายงานอัตราการดำเนินการของโรงกลั่นลดต่ำลงต่ำที่สุด ถ้าจะเอาแบบละเอียดก็คือตัวเลขในเดือนพฤษภาคมปี 2019 เคยอยู่ที่ 90.6% แต่ในปีนี้กลับมีตัวเลขออกมาลดลงอยู่ที่ 70.6% สิ่งที่เราต้องการจะสื่อก็คือแม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องดีที่การผลิตน้ำมันยังอยู่ในระดับต่ำแต่ความต้องการในการผลิตถือว่ายังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
EIA รายงานว่าสัปดาห์ที่แล้วปริมาณน้ำมันดิบคงคลังมีตัวเลขอยู่ที่ 7.98 ล้านบาร์เรลในขณะที่ตัวเลขของปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกันเคยอยู่ที่ 9.68 ล้านบาร์เรล จริงอยู่ว่าคงจะมีพลังงานเชื้อเพลิงที่ถูกส่งออกแต่ปริมาณที่ส่งออกไปนั้นจะลดลงเพราะปริมาณความต้องการน้ำมันในตอนนี้ยังถือว่าน้อยกว่ามาตรฐาน
3. ค่าการกลั่นของบริษัทผู้กลั่นน้ำมันในสหรัฐฯ ลดลง
อ้างอิงข้อมูลจาก Wall Street Journal ระบุว่าค่าการกลั่นของบริษัทโรงกลั่นให้สหรัฐอเมริกาลดลงอย่างมีนัยสำคัญมาตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคม เราคาดว่าเมื่อสภาวะเศรษฐกิจเริ่มกลับมาเป็นปกติได้บ้างจะช่วยผ่อนปัญหาในส่วนนี้ให้เบาลง
อย่างไรก็ตามตัวเลขอัตราส่วนต่างระหว่างราคาขายและต้นทุนของบริษัทโรงกลั่นยังอยู่ในระดับต่ำ ก่อนหน้าที่โควิดจะเข้ามาตัวเลขดังกล่าวเคยวิ่งอยู่ที่ค่าเฉลี่ยประมาณ $16.40 - $20.00 ต่อบาร์เรลแต่นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคมมาจนถึงปัจจุบันตัวเลขอัตราส่วนต่างดังกล่าวลดลงเหลือ $7.50 - $14.40 ต่อบาร์เรลเท่านั้น ค่าการกลั่นของบริษัทน้ำมัีนในสหรัฐฯ ตอนนี้ถือว่าต่ำกว่าบริษัทโรงกลั่นในยุโรปหรือบริษัทที่อยู่ในแถบเมดิเตอร์เรเนียนที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซียซะอีก
ตอนนี้ดูเหมือนว่ากลุ่มโอเปกและรัสเซียกำลังเตรียมที่จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในช่วงสิ้นเดือนกรกฎาคมแล้ว (ยกเว้นว่าทางกลุ่มจะมีอัปเดตยืดระยะเวลาลดกำลังการผลิตฯ ออกไปอีก) ในตอนนั้นสถานการณ์ของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันสหรัฐฯ อาจจะพอชื่นใจกลับมาได้บ้าง พวกเขาอาจจะมีโอกาสได้กลับมาเปิดหลุมขุดน้ำมันใหม่
การเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอาจเป็นข่าวร้ายต่อราคาน้ำมันดิบโดยรวมแต่ถ้าความต้องการน้ำมันยังไม่กลับมา การผลิตน้ำมันไปก็ไม่ใช่ให้สถานการณ์ของค่าการกลั่นดีขึ้นอยู่ดี นอกจากนี้ในระยะยาวจะยิ่งทำให้บริษัทโรงกลั่นอาจจะต้องประสบปัญหาในการหาเงินมาดูแลอุปกรณ์ในช่วงหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึงโดยที่พวกเขาต้องไปหาเงินจากส่วนอื่นมาทดแทน
โดยสรุปแล้วในตอนนี้แม้จะดูเหมือนว่าราคาน้ำมันดิบสามารถปรับตัวกลับขึ้นไปได้ แต่ในแง่ของกลไกที่มีบริษัทกลั่นน้ำมันเป็นตัวกลางแล้วพวกเขากำลังประสบปัญหาทางด้านของความต้องการน้ำมันดิบที่ยังไม่กลับมาเต็มที่ 100% เหมือนเดิมซึ่งเป็นอุปสรรคของขาขึ้นในราคาน้ำมันดิบได้