เมื่อวันศุกร์ (19 มิ.ย.) ที่ผ่านมา มีข่าวออกมาให้นักลงทุนในตลาดหุ้นได้กังวลกันเล็กน้อย หลังแบงก์ชาติออกประกาศเรื่อง การเสริมสร้างเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงจากสถานการณ์โคโรน่าไวรัส มีประเด็นไหนที่น่าสนใจ ผมรวบรวมมาเป็นข้อๆ ตามนี้นะครับ
1. ตามประกาศ แบงก์ชาติแจ้งว่าให้ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) จัดทำแผนบริหารเงินกองทุนในระยะเวลา 1-3 ปีข้างหน้า รวมถึงงดจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานในปี 2563 รวมถึงห้ามซื้อหุ้นคืน ไถ่ถอนหรือซื้อคืนตราสารหนี้ที่เป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 หรือ 2 ก่อนครบกำหนด
2. เจตนาแบงก์ชาติค่อนข้างชัดว่า ไม่อยากให้ธพ.เอาเงินกองทุนออกมา และพยายามให้รักษาสภาพคล่องไว้ในธนาคารไว้ให้มากที่สุด เหตุผลก็คือ มองว่า สถานการณ์เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูงอยู่
3. ทำไมแบงก์ชาติมองว่า ความไม่แน่นอนสูงอยู่? เพราะตอนเกิดวิกฤตและต้อง Lockdown ในช่วงแรก ธพ. มีนโยบายพักชำระ บ้างก็พักเฉพาะเงินต้น บ้างก็พักทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย แต่นโยบายเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นแค่เพียงชั่วคราวภายในเวลา 3-6 เดือน ซึ่งก็จะทยอยครบกำหนดภายในเดือนก.ค. เป็นต้นไป
4. แน่นอนว่า งบของไตรมาส 2 ของธนาคาร อาจจะออกมาโดยมี NPL เพิ่มขึ้นบ้าง แต่คงไม่มาก เพราะอยู่ในช่วงที่ลูกหนี้พักชำระหนี้อยู่ การตั้งสำรองหนี้เสียเลยอาจจะยังไม่เยอะ ซึ่งถ้ามองแค่นั้น มันจะแลดูเหมือนว่า ธพ. ผ่านวิกฤตโควิท-19 โดยที่ยังมีกำไรอยู่ได้
5. จะแน่ใจได้อย่างไรว่า พอพักหนี้ครบ 3-6 เดือนแล้ว ลูกค้าของธนาคาร (ซึ่งก็คือลูกหนี้) จะกลับมาจ่ายกันได้อีกรอบ? ไหนจะการระบาดของไวรัสในต่างประเทศที่ยังเพิ่มขึ้น ไหนจะการบริโภคในประเทศที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่
6. เพราะหากลองถามเหล่าผู้ประกอบการในตอนนี้ ว่า "คิดว่า เศรษฐกิจจะดีขึ้นในอีก 3-6 เดือนข้างหน้าหรือไม่?" ผมเชื่อว่า คำตอบที่ได้คือ "ไม่รู้" มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมากๆ และความไม่แน่นอนที่ยังคงสูงแบบนี้ มันทำให้การหมุนของเงินในระบบเศรษฐกิจน้อยกว่าเดิม และต้องใช้เวลานานกว่าจะกลับไปจุดเดิม
7. อุปสงส์ที่ลดลง ทำให้ผู้ประกอบการขยับขึ้นราคาสินค้าเพื่อเพิ่ม Margin ลำบาก จุดนี้ เราน่าจะเห็นเงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำ หรืออาจถึงขั้นติดลบในช่วงหนึ่ง สิ่งที่ผู้ประกอบการทำได้ง่ายกว่าก็คือ ลดค่าใช้จ่าย คนขนาดพื้นที่เช่า ลดคนงาน
8. ถ้าจะลดค่าใช้จ่ายโดยปลดคน และทำกันเยอะๆเนี่ย มันก็จะทำให้อำนาจการซื้อในภาพรวมลงไปมากกว่านี้อีกนะ ดังนั้น ยังไงมองในมุมของรัฐบาล ก็ต้องไม่อยากให้เกิดภาพนี้อยู่แล้ว
9. ภาคท่องเที่ยว ยิ่งชัดเลย ปีนี้หลายๆ House คาดการณ์กันว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยเราน่าจะเหลือไม่เกิน 10 ล้านคน นักท่องเที่ยวหาย โรงแรมก็รายได้หด ร้านอาหารก็ด้วย Travel Bubbles จากภาครัฐฯ ก็น่าจะค่อยๆเป็นค่อยๆไป มากกว่าจะพยายามเรียกนักท่องเที่ยวเข้าไทยให้เร็วๆ
10. ภาคการส่งออก เราก็มีความเสี่ยงอยู่ เพราะคู่ค้าหลักๆของเรา อเมริกา, จีน, สหภาพยุโรป ยังเจอโควิท-19 อยู่ วัตถุดิบก็จัดส่งลำบาก เพราะมาตรการควบคุมโรคทำให้มีอุปสรรค และ Supply Chain หยุดชะงักช่วงหนึ่ง และผู้ส่งออกส่วนหนึ่งเลย ก็คือ ลูกค้าของธพ. นี่เอง
11. แต่ถึงอย่างงั้น มันก็อยู่ที่ว่า ธพ. จะมีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญไว้เท่าไหร่ ซึ่งมันขึ้นอยู่กับ Assumption ของแต่ละเจ้าเลยว่าใคร Aggressive ใคร Conservative ขนาดไหน
12. ปกติ นักลงทุนที่ลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคาร จะมองเรื่องผลตอบแทนจากเงินปันผลประกอบด้วยซึ่งเฉลี่ยจะอยู่แถวๆ 2-4% แล้วแต่ธนาคาร แต่การงดจ่ายปันผลแบบนี้ จะทำให้ความน่าสนใจของหุ้นกลุ่มแบงก์ในปีนี้หายไปบ้าง โดยเฉพาะแบงก์ขนาดกลางที่จ่ายปันผลได้สูงกว่า
13. แนะนำให้ไปดู Coverage Ratio ของแต่ละธนาคาร เพื่อดูคุณภาพของลูกหนี้และความสามารถในการบริหารสินทรัพย์ที่มี และถ้าสนใจจะเก็งกำไรหุ้นธนาคาร ส่วนตัวมอง Downside Risk กลุ่มธนาคารในสัปดาห์หน้า อยู่แถวๆ 5-7% ส่วนวิวยาวๆ บอกตรงๆเลย "ไม่รู้" 555+
Mr.Messenger รายงาน
บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ครั้งแรกบนเพจ MrMessengerDiary
บทความห้ามพลาด
เบื้องลึก! ธปท.สั่งงดจ่ายปันผล หุ้น BANK ระส่ำ นักลงทุนจ๊าก!