ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับเข้าสู่ช่วงเวลาความผันผวนสูงอีกครั้งหลังจากที่สามารถทะยานกลับขึ้นมาจากจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 23 มีนาคมได้อย่างน่าประทับใจ สาเหตุแห่งความผันผวนนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นใดอื่นนอกจากความเป็นไปได้ที่โรคระบาดโควิด-19 จะกลับมาเป็นครั้งที่ 2 และกลายประเด็นให้ต้องจับตาดูอีกครั้งในสัปดาห์นี้
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญในวันพฤหัสบดี นอกจากความกังวลเรื่องโควิดจะเพิ่มสูงขึ้นประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ นายเจอโรม พาวเวลล์ยังแสดงท่าทีของความไม่นิ่งนอนใจเกี่ยวกับปัญหาการแพร่ระบาดฯ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (FOMC) เมื่อวันพุธ หลังจากที่ตลาดลงทุนปรับตัวลดลงจากสาเหตุนี้แล้วก็สามารถพาตัวเองกลับขึ้นมาได้ในวันศุกร์มากถึง 1%
หากนับตั้งแต่จุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 23 มีนาคมมาจนถึงปัจจุบันจะพบว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวกลับมามากถึง 47% เชื่อว่าสัปดาห์นี้จะเป็นอีกหนึ่งสัปดาห์แห่งความวุ่นวายแต่เราก็ยังเลือกหุ้น 3 ตัวที่มีความโดดเด่นท่ามกลางความผันผวนมาให้พิจารณากัน
1. Tesla (NASDAQ:TSLA)
สัปดาห์นี้อาจเป็นสัปดาห์แห่งความผันผวนของหุ้นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มาแรงที่สุดในตอนนี้อย่างเทสลา (NASDAQ:TSLA) แม้ว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเทสลาพึ่งจะมีข่าวดีที่สามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลได้แต่ก็ต้องถูกปัจจัยเชิงลบเข้ามากระทบเมื่อธนาคารกลางลงทุนชื่อดังอย่างมอร์แกน สแตนลีย์และโกลด์แมน แซคส์ออกมาเตือนนักลงทุนและปรับลดระดับความน่าเชื่อถือลง
ล่าสุดราคาหุ้นเทสลามีราคาปิดอยู่ที่ $935.28 ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงมาจากจุดสูงสุด $1,025 ประมาณ 9% โดยมีสาเหตุมาจากการออกมาเตือนของนักวิเคราะห์จากสองธนาคารด้านการลงทุนชื่อดัง
นายอดัม โจนาส นักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์เขียนถึงนักลงทุนของพวกเขาเกี่ยวกับการปรับลดความน่าสนใจของหุ้นเทสลาลงมาพร้อมทั้งลดระดับเป้าหมายของหุ้นเทสลาลงมาจาก $680 เป็น $650 โดยให้เหตุผลว่าการขึ้นไปยัง $1,025 ของราคาไม่ได้สะท้อนให้เห็นความเป็นไปได้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปใช้รถพลังงานไฟฟ้าหลังจากยุคหลังโควิด-19 “ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเทสลาทั้งในแง่ของการเติบโตและผลกำไรต่างได้รับผลกระทบในระยะยาวซึ่งยังไม่ใช่สิ่งที่ตลาดเห็นในตอนนี้”
ในขณะเดียวกันนักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์นายมาร์ก เดลานีย์ได้ปรับลดหุ้นเทสลาลงมาอยู่ในระดับ”ปกติ” เพราะหุ้นของเทสลาสามารถขึ้นมาถึงระดับเป้าหมาย $950 ตามที่ทางธนาคารฯ เคยคาดการณ์ไว้ในรายงานคาดการณ์ราคาเป้าหมายในตลาดหุ้นตลอดระยะเวลา 12 เดือน “เราจะปรับหุ้นเทสลาให้กลับมาอยู่ในระดับ “น่าซื้อ” อีกครั้งหากเรามีเหตุผลให้เชื่อในความเป็นไปได้ของขาขึ้นระลอกใหม่หรือถ้าปัจจัยพื้นฐานมีความน่าดึงดูดมากกว่านี้”
2. Kroger
ซุปเปอร์มาร์เก็ตค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกานามโครเกอร์ (NYSE:KR) จะรายงานตัวเลขปีงบประมาณ 2020 และผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ในวันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นของโครเกอร์จะอยู่ที่ $1.07 และมียอดขายรวมทั้งสิ้น $40,430 ล้านเหรียญสหรัฐ
ตลอดทั้งปี 2020 จนถึงปัจจุบันหุ้นโครเกอร์ปรับตัวสูงขึ้น 11% เนื่องจากผู้บริโภคหันมาซื้อของออนไลน์ในช่วงล็อกดาวน์ ล่าสุดหุ้นโครเกอร์มีราคาปิดอยู่ที่ $32.26 ปรับตัวลดลง 1.35% ในการรายงานตัวเลขผลกำไรเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาถือว่าโครเกอร์สามารถสร้างยอดขายได้อย่างดีเพราะผลิตภัณฑ์ที่มาจากแบรนด์ซึ่งอยู่ใต้สังกัดของโครเกอร์เองและการทำตลาดออนไลน์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งในแง่ของการซื้อของและตัวเลือกการจัดสินสินค้า
โครเกอร์ได้ควบรวมกับบริษัท Home Chef และเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัท Instacart ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับด้านการทำอาหารทั้งคู่ สาเหตุที่โครเกอร์ต้องวางกลยุทธ์ในด้านนี้เพื่อแข่งขันกับบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่อีก 2 บริษัทอย่างแอมะซอน (NASDAQ:AMZN) และวอลมาร์ท (NYSE:WMT)
3. American Express
หุ้นของบริษัทอเมริกัน เอ็กซ์เพรส (NYSE:AXP) อาจจะมีความเคลื่อนไหวในช่วงของการเปิดตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ วันนี้เมื่ออเมริกัน เอ็กซ์เพรสได้รับอนุญาตให้สามารถเปิดบริการได้ในประเทศจีนซึ่งจะส่งผลให้บริษัทสามารถเข้าถึงแหล่งเศรษฐกิจอันดับสองของโลกได้
แถลงการณ์จากธนาคารกลางแห่งประเทศจีน (PBoC) เมื่อวันเสาร์ระบุว่าอเมริกัน เอ็กซ์เพรสได้รับอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจร่วมกันกับบริษัท เอ็กซ์ เพรส หางโจว เทคโนโลยีของประเทศจีนและต้องยื่นรายละเอียดการทำธุรกรรมบนบัตรของธนาคารให้เสร็จภายใน 6 เดือนทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ นอกจากนี้อเมริกัน เอ็กซ์เพรสยังมีความร่วมมือกับบริษัทผู้พัฒนาบริการกระเป๋าเงินออนไลน์ของจีนอีกด้วย
ล่าสุดหุ้นของบริษัทอเมริกัน เอ็กซ์เพรสมีราคาปิดอยู่ที่ $101.68 คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 3.12% เมื่อวันศุกร์แต่ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรสยังถือว่าปรับตัวลดลง 18%