กำไรสุทธิ 1Q63 อยู่ที่ 926 ล้านบาท เพิ่มขึ้น YoY และ QoQ
COVID-19 กระทบยอดขายเดือน เม.ย. มากสุด แต่เริ่มฟื้นตัวดีในเดือน พ.ค.
เพิ่มสายการผลิตในโรงงานบรรจุเครื่องดื่ม ช่วยเพิ่มกำลังผลิต 10-15% ของ ทั้งหมดในช่วง 2H63
ปรับแผนลด CAPEX ปี 63 และลดต้นทุน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์
Upside เริ่มจำกัด ปรับคำแนะนำเป็น “ถือ” คงราคาเป้าหมาย 46.50 บาท
กำไรสุทธิ 1Q63 อยู่ที่ 926 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4%YoY และเพิ่มขึ้น 13%QoQ
กำไรสุทธิ 1Q63 อยู่ที่ 926 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4%YoY และเพิ่มขึ้น 13%QoQ จากการ เติบโตของรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจหลัก และอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น รายได้รวมอยู่ที่ 6,687 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5%YoY มาจากการขายเครื่องดื่มในประเทศเติบโต 4.6%YoY โดยเฉพาะ Functional Drinks เติบโตถึง 26.2%YoY ขณะที่รายได้จากการขายสินค้า ในต่างประเทศเพิ่มขึ้น 4.8%YoY ด้านอัตรากำไรขั้นต้น 1Q63 อยู่ที่ 35.4% สูงกว่า 1Q62 และ 4Q62 ที่ 34.8% และ 35.0% ตามลำดับ เป็นผลจากโครงการ Fit Fast Firm (เป็นโครงการเพิ่มประสิทธิผลและลดต้นทุนโดยรวมของบริษัท) อย่ำงไรก็ตาม อัตราค่าใช้จ่ายในการดาเนินงานต่อยอดขายอยู่ที่ 23.0% สูงกว่ำ 1Q62 และ 4Q62 ที่ 20.8% และ 21.9% ตามลำดับ จากคาใช้จ่ายทางการตลาดและค่าใช้จ่ำยในการขยาย ธุรกิจต่างประเทศเพิ่มขึ้น
ภาพรวม 2Q63 เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น
บริษัทผลักดันผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ M-150 เครื่องดื่มซี-วิต และเบบี้มายด์รวมทั้ง ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขอนามัย (เจลล้างมือ) เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 โดยยอดขายเดือน เม.ย. เริ่มได้รับผลกระทบจาก COVID-19 (มาตรการเคอร์ฟิวและล็อกดาวน์เมือง) อย่างไรก็ตามเราเริ่มเห็นสัญญาณ การฟื้นตัวที่ดีในเดือน พ.ค. หากไม่มีมาตรการล็อกดาวน์เพิ่มเติมจากรัฐบำล บริษัทคาด ว่าเดือน พ.ค. - มิ.ย. จะกลับมาดีขึ้น รวมถึงโรงงานบรรจุเครื่องดื่มเพิ่มสายการผลิต ซึ่ง คาดจะเพิ่มกำลังผลิต 10-15% ของทั้งหมด ในช่วง 2H63 โดยเฉพาะเครื่องดื่มซี-วิต (CVitt) ที่มีความต้องการสูง และมีส่วนแบ่งทางการตลาด 31.3% จากความตื่นตัวด้าน สุขภาพ (Health Conscious) ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยเติบโตถึง 37.1%YoY ในช่วง 1Q63 จากความสามารถในการผลิตที่มากขึ้นคาดว่าจะช่วยเพิ่มทั้ง ยอดขายและความสามารถในการทำกำไรให้กับบริษัทได้
แนะนำ “ถือ” ให้ราคาเป้าหมาย 46.50 บาท
บริษัทลด CAPEX ปี 2563 จำก 5,000 ล้านบาท เหลือต่ำกว่า4,000 ล้านบาท โดย เลื่อนโครงการที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน เพื่อรักษาสภาพคล่องบริษัทให้สูง รวมถึงการลด ต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับโครงการ Fit Fast Firm ซึ่งมีแผนที่จะลดต้นทุนทั้งปีรวม 500-800 ล้านบาท อย่างไรก็ตามเนื่องจากราคาหุ้น ขึ้นมา 20.4%YTD ในช่วงเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ Upside เหลือเพียง 8.8% เราปรับคำแนะนำเป็น “ถือ” ให้ราคาเป้าหมาย 46.50 บาท อิงค่า PER เฉลี่ยที่เหมาะสม ในปี 2563 ที่ 39 เท่า
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Asia Wealth Securities