ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐปรับตัวบวกขึ้นต่อ 1.4% หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ขยายอาณาเขตการทำนโยบายการเงินเพิ่มเติมให้ครอบคลุมเกือบทุกบริษัทและแทบทุกระดับของตราสารหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาโคโรนาไวรัส ส่งผลให้สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นสัปดาห์ที่หุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 1974
View Updates: "คง" มุมมองเป้าหมายสินปี S&P500 ที่ 2800 เชื่อว่ารับข่าวดีทุกอย่างไปหมดแล้ว ต้องรอว่าผลประกอบการณ์ของบริษัทจะดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ได้ขนาดไหน
เนื้อหาหลักของ นโยบายการเงินรอบนี้ประกอบไปด้วยห้าเรื่องหลัก
อย่างแรกคือ Primary and Secondary Market Corporate Credit Facilities (PMCCF และ SMCCF) ในมูลค่าวงเงินราว 7.5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเปิดวงเงินซื้อตราสารหนี้ทั้งในตลาดแรกและตลาดรองรวมไปจนถึง ETF ตราสารหนี้ โดยเรตติ้งที่ซื้อได้ถูกปรับลดลงมาที่ระดับ BB-/Ba3
อย่างที่สองคือ Municipal Lending Facility ในมูลค่าวงเงินราว 5 แสนล้านดอลลาร์ โดยจะเป็นการปล่อยกู้ตรงให้กับหน่วยงานรัฐทั่วทั้งสหรัฐที่ดอกเบี้ยต่ำมีอายุราว 24 เดือน
นอกจากนี้ก็มี Term Asset-Backed Securities Loan Facility (TALF)ในมูลค่าวงเงินราว 5 แสนล้านดอลลาร์ ที่มีการเพิ่มสินทรัพย์ให้ครอบคลุมไปถึง สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่ออกโดยภาคเอกชน
วงเงินที่สี่คือ Main Street Lending Program ในมูลค่าวงเงินราว 6 แสนล้านดอลลาร์ ที่จะเป็นการปล่อยกู้ให้กับบริษัทที่มีพนักงานไม่เกิน 10,000 ตำแหน่งและ มีรายได้ไม่เกิน 2.5 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ที่ดอกเบี้ย SOFR +200-400bps มีอายุได้ถึง 4ปี
และ Paycheck Protection Program Liquidity Facility ไม่จำกัดวงเงิน
View Updates: "ปรับลด" เป้าหมาย yield US treasury 10 years ลงมาที่ระดับ 0.50% จากเดิม 1.0% "ปรับเพิ่ม" เป้าหมายราคาทองปลายปีไปที่ 1777 จาก 1666 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่เชื่อว่าจะปรับตัวลงก่อน
โดยในฝั่งตลาดเงิน นโยบายทั้งหมด กดดันให้ยีลด์ของกลุ่ม High Yield และ พันธบัตรรัฐบาลในประเทศฝั่งลาตินอเมริกาปรับตัวลง 30-60bps เนื่องจากเป็นตราสารที่มีความเสี่ยงใกล้เคียงกับตราสารที่เฟดซื้อเพิ่ม
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ก็อ่อนค่าลงราว 0.7% เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักทั่วโลกในช่วงค่ำ อย่างไรก็ดี ในช่วงเช้าวันนี้กลับมีราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลง หลังจากที่กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันไม่สามารถหาข้อตกลงระยะสั้นกันได้จนต้องประชุมต่อในวันนี้ หนุนให้ดอลลาร์ฟื้นตัวกลับขึ้นม
ในฝั่งของเงินบาทและสกุลเงินเอเชีย ในระยะถัดไปเชื่อว่าจะจะได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯเช่นกัน แต่ในระยะสั้น ต้องจับตาดูในวันนี้ก่อนว่าจะมีเงินทุนไหลเข้ามาฟังเอเชียมากขนาดไหนถ้าราคาน้ำมันยังทรงตัวในระดับต่ำ