จากการแข่งขันของบริษัทสื่อโซเชียลมีเดียที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นในสหรัฐอเมริกา เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งที่บริษัทเหล่านี้เติบโตแล้วปัญหาที่พวกเขาจะต้องเจอคือปัญหาทางด้านกฏหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนั้นนักลงทุนจึงมักนิยมกระจายพอร์ตลงทุนตัวเองไปลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่มีความสามารถในการหลบเลี่ยงความเสี่ยงทางกฏหมายเหล่านี้
ดังนั้นในบทความนี้เราจึงคัดหุ้นที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจเดียวกันอย่าง Snap (NYSE:SNAP) และ Pinterest (NYSE:PINS) มาวิเคราะห์ทั้งผลกำไร ความเสี่ยง ผลตอบแทน
1.Snap
แอปพลิเคชันถ่ายรูปพร้อมแชร์ Snapchat ได้รับกระแสตอบรับที่ดีและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในปี 2019 หลังจากที่ตัวเลขผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้ ถึงกระนั้นในสัปดาห์ที่แล้ว Snap ต้องสะดุดเมื่อรายงานตัวเลขยอดขายในไตรมาสที่ 4 ไม่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้
ปีที่แล้วตัวเลขยอดขายของบริษัท Snap กระโดดขึ้น 44% ได้กำไรรวมแล้วทั้งสิ้น $561 ล้านเหรียญสหรัฐแต่ตัวเลขปันผลกำไรต่อหุ้นกลับลดลงจากเดิมที่นักวิเคราะห์มองว่าควรจะปันผลได้ $0.17 แต่กลับปันผลได้เพียง $0.12 ต่อหุ้นเท่านั้น
แม้ว่าตัวเลขปันผลจะไม่น่าประทับใจแต่ Snap ยังคงสามารถเพิ่มตัวเลขจำนวนผู้ใช้งานรายวันของแอปพลิเคชันได้ จากเดิมในไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้วมีตัวเลขจำนวนผู้ใช้งานอยู่ที่ 218 ล้านคนแต่มาในปีนี้กลับมียอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอีก 8 ล้านคนคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 3.8% ถ้าเทียบเฉพาะในไตรมาสที่ 4 อย่างเดียวแล้ว Snap มียอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นตลอด 4 ปีติดต่อกัน
อย่างไรก็ตามผลงานปรับตัวขึ้น 100% ของหุ้น Snap เมื่อปีที่แล้วทำให้นักลงทุนบางกลุ่มมองว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องทำให้หุ้นปรับตัวลดลงไปปรับฐานบ้าง เมื่อวานนี้หุ้น Snap จึงปรับตัวลดลงจาก $19.03 เหลือ $17.61
ถึงบริษัทจะเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดจนทำให้บริษัทมียอดจำนวนผู้ใช้งานและมีกำไรเพิ่มมากขึ้นในปีที่แล้วแต่ความเสี่ยงที่บริษัท Snap จะต้องเจอปัญหาทางกฏหมายก็เป็นอุปสรรคใหญ่ของบริษัทอยู่เช่นกันซึ่งเรามีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหาด้านลิขสิทธิ์ การเข้าถึงข้อมูลลูกค้า การป้องกันข้อมูลรั่วไหล ฯลฯ บางที Snap อาจต้องลองปรึกษาผู้ที่ผ่านน้ำร้อนมาก่อนอย่างเฟสบุ๊ก (NASDAQ:FB) หรือกูเกิ้ล (NASDAQ:GOOG) ดูเพื่อหาทางหนีทีรอด
2.Pinterest
ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันเมื่อแอปพลิเคชันชื่อดัง “Pinterest” สามารถมียอดผู้ใช้งานในแต่ละเดือนรวมแล้วประมาณ 320 ล้านคนทั่วโลก อธิบายโดยสังเขปสำหรับแอปฯ Pinterest คือสถานที่ที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานเข้ามา “ปักหมุด (Pin)” ไอเดีย รูปภาพ งานวิดีโอต่างๆ มื้ออาหารค่ำ สูตรการทำอาหาร สถานที่พักผ่อนในวันหยุด ฯลฯ ที่บุคคลนั้นๆ สนใจโดยให้อารมณ์การใช้งานคล้ายกับการปักหมุดข้อความสำคัญบนบอร์ด
Pinterest มีจุดขายและภาพลักษณ์ที่แตกต่างไปจากสื่อโซเชียลมีเดียอื่นๆ ตรงที่ไม่ได้พุ่งเป้ามุ่งเน้นมาที่การโฆษณาเพื่อขายของแต่เมื่อผู้ใช้งานสนใจในไอเดียอะไร บุคคลๆ นั้นถึงจะได้เห็นโฆษณาหรือของที่มีความใกล้เคียงกับไอเดียที่ผู้ใช้งานเลือกปักหมุด ผู้ใช้งานจึงสามารถสัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรของแอปฯ Pinterest มากกว่า
หลังจากที่บริษัทเริ่มเปิดตัวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนเมษายนปี 2019 หุ้นของ Pinterest ก็สามารถทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่ง ภายในปีเดียว Pinterest สามารถทำกำไรได้มากถึง $1,000 ล้านเหรียญสหรัฐและคาดว่าจะสามารถทำกำไรได้ $1,520 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้จากการลงทุนใหม่ที่นำเทคโนโลยีมาพัฒนาโปรแกรมยืนยันการซื้อสินค้าโดยมุ่งเน้นไปที่สินค้าประเภทแฟชั่นและการตกแต่งบ้าน
นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในเรื่องของความเร็วในการอัปโหลดวิดีโอประเภทการแต่งหน้าและการทำอาหารเห็นได้ชัดเลยว่าข่าวการลงทุนนี้ทำให้บริษัทมีตัวการเติบโตทั้งตัวเลขจำนวนผู้ใช้งานและผลกำไรเป็นอย่างดี ดูเหมือนว่านักลงทุนจะชอบแนวทางของ Pinterest ณ ขณะนี้จึงทำให้เฉพาะปี 2020 หุ้น Pinterest ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 30% แม้เมื่อวานนี้จะมีราคาปิดอยู่ที่ $24.03 ปรับตัวลดลงมาจากจุดสูงสุด $36.83
ความเสี่ยงเพียงอย่างเดียวที่ทำให้นักลงทุนยังไม่กล้าตัดสินใจลงทุนกับ Pinterest ตัวเลขขาดทุนที่ถือว่ามหาศาลใช้ได้ นักลงทุนต้องการเห็นความมั่นคงในการทำกำไรของบริษัทเสียก่อนซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะ เมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา Pinterest มีตัวเลขขาดทุนอยู่ที่ $1,360 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น $3.24 ต่อหุ้นเมื่อเทียบกับปี 2018 ที่มีตัวเลขขาดทุนอยู่ที่ $63 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 0.50 ต่อหุ้น แม้ตัวเลขกำไรรวมจะเพิ่มขึ้น 51% แต่ตัวเลขขาดทุนก็เพิ่มขึ้น 3 เท่าเป็น $2,530 ล้านเหรียญเช่นเดียวกัน
โดยสรุปแล้ว…
ทั้ง Snap และ Pinterest ต่างมีความเสี่ยงในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป แม้แต่กลุ่มเป้าหมายยังมีความแตกต่าง Snap ต้องการลูกค้าในกลุ่มที่เป็นวัยรุ่นในขณะที่ Pinterest ต้องการลูกค้าในทุกช่วงอายุและความต้องการขายของสำหรับผู้ใช้งานแต่ละคนซึ่งแตกต่างกันออกไป
ในมุมมองของเรา Snap มีความเสี่ยงมากกว่า Pinterest แม้ว่า Snap ดูมีความมั่นคงทางการเงินมากกว่าแต่เพราะคู่แข่งคนสำคัญของ Snap คือแอปพลิเคชัน Instagram ซึ่งเป็นของยักษ์ใหญ่แห่งวงการโซเชียลมีเดียอย่างเฟสบุ๊ก