ตอนนี้นักลงทุนทั่วโลกต่างให้ความสนใจไปยังสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาว่าจะสามารถสร้างผลกระทบกับกิจกรรมการทำงานในแต่ละภาคส่วนได้มากน้อยแค่ไหน อ้างอิงจากการรายงานของบลูมเบิร์กระบุว่าผลกระทบของไวรัสโคโรนาอาจสร้างผลกระทบใหญ่กว่าโรค SARS มากถึง 3-4 เท่า (มากกว่า $40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ)
ผลกระทบเชิงลบจากไวรัสโคโรนาส่งผลให้ดัชนีหลักๆ ของตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ต้องปรับตัวลดลงดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2.1% ในขณะที่ดัชนีแนสแด็กและ S&P 500 ปรับตัวลดลงตลาดละ 1.5%
แม้ว่าสถานการณ์ของเชื้อไวรัสโคโรนาจะน่ากังวลเพียงใด แต่ในสัปดาห์นี้ยังมีการรายงานผลประกอบการของบริษัทใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ ที่น่าสนใจอยู่ 3 บริษัทดังต่อไปนี้คือบริษัทที่จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้และคาดว่าหุ้นของบริษัทจะมีความเคลื่อนไหวหลังจากมีรายงานประกาศออกมาแล้ว
1.Alphabet
บริษัทอัลฟาเบท (NASDAQ:GOOGL) หรือที่รู้จักกันดีในฐานะเจ้าของ search engine ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างกูเกิ้ล (Google) จะรายงานผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสที่ 4 ปี 2019 ในวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ (ช่วงเช้าของวันอังคารที่ 4 ตามเวลาประเทศไทย) หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด คาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถทำผลกำไรต่อหุ้นได้ที่ $12.51 และมีผลกำไรรวมทั้งหมดอยู่ที่ $46,910 ล้านเหรียญสหรัฐ
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิดลงพบว่าหุ้นของอัลฟาเบทปรับตัวลดลงมากกว่า 1% หลังจากที่ก่อนหน้านี้ปรับตัวสูงขึ้น 27% ในปี 2019 โดยมีราคาล่าสุดอยู่ที่ $1,432.78 สาเหตุที่หุ้นของบริษัทปรับตัวลงมาเพราะต้องเผชิญกับปัญหาทางด้านกฏหมายและบริษัทโฆษณาคู่แข่งทางออนไลน์
ลักษณะการวิ่งที่กราฟหุ้นของบริษัทอัลฟาเบทแสดงออกมากำลังแสดงออกว่าหุ้นกูเกิ้ลอาจขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของราคาแล้วก็เป็นได้ แม้ตัวเลขผลกำไรที่ได้จากการโฆษณาของกูเกิ้ลในไตรมาสที่ 3 จะสร้างสถิติสูงสุดไว้ที่ $33,900 ล้านเหรียญสหรัฐแต่ตัวเลขนี้ถือว่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ตอนนี้กูเกิ้ลกำลังให้ความสนใจนำเงินไปลงทุนกับการพัฒนาระบบ cloud-computing ซึ่งมีอัตราการเติบโตที่ดีมากแต่ถึงอย่างนั้นบริษัทก็ต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่สำคัญอย่างแอมะซอน (NASDAQ:AMZN) และไมโครซอฟท์ (NASDAQ:MSFT)
นอกจากปัญหาทางด้านคู่แข่งแล้วตอนนี้กูเกิ้ลกำลังเจอการทดสอบจากหน่วยงานรัฐของสหรัฐฯ หลายหน่วยงานที่ต้องการตรวจสอบการทำงานของบริษัทและการรักษาสิทธิ์ความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ใช้งาน
2. Disney
ถึงแม้ว่าหุ้นของบริษัทดีสนีย์ (NYSE:DIS) จะประสบความยากลำบากในการปรับตัวขึ้นปีนี้แต่การรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2020 หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิดในวันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ก็อาจทำให้นักลงทุนต้องลุ้นกับราคาที่ขึ้นๆ ลงๆ อีกครั้ง คาดการณ์ว่าตัวเลขปันผลกำไรต่อหุ้นของดิสนีย์จะอยู่ที่ $1.46 และมียอดรวมผลกำไรทั้งหมดอยู่ที่ $20,810 ล้านเหรียญสหรัฐ
นักวิเคราะห์มองว่าปีนี้ดิสนีย์จำเป็นต้องใช้เงินทุนเพิ่มขึ้นเพื่อทำให้บริการสตรีมมิ่งใหม่ล่าสุดอย่าง “Disney Plus” ที่พึ่งเข้าสู่สนามแข่งบริการสตรีมมิ่งเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2019 สามารถต่อกรกับคู่แข่งคนสำคัญอย่างเน็ตฟลิกซ์ (NASDAQ:NFLX) ที่เป็นราชาของบริการรับชมภาพยนตร์แบบสตรีมมิ่งอยู่ในขณะนี้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
หลังจากที่หุ้นบริษัทสามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2019 ในปีนี้หุ้นมิกกี้เมาส์กลับประสบปัญหาในการดันราคาให้ขึ้นไปต่อ ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหุ้นดิสนีย์มีราคาปิดอยู่ที่ $138.31 ปรับตัวสูงขึ้น 0.4% สาเหตุหนึ่งที่ทำให้หุ้นดิสนีย์ปรับตัวลดลงมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาที่ทำให้สวนสนุกดิสนีย์ในประเทศจีนต้องถูกสั่งปิดทำการลง นอกจากนี้นักลงทุนต้องการรอดูรายงานผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสล่าสุดและจำนวนยอดของผู้สมัครสมาชิกหลังจากที่ Disney Plus เปิดตัวไปแล้ว
3.Merck & Company
บริษัทด้านเวชภัณฑ์และเคมีภัณฑ์ระดับโลกเมอร์ค (MRK) จะรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ปี 2019 ในวันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิดทำการ คาดว่าบริษัทจะสามารถปันผลกำไรต่อหุ้นได้ที่ $1.15 และมียอดทำกำไรรวมทั้งหมด $11,950 ล้านเหรียญสหรัฐ
เมอร์คประสบความสำเร็จจากการขายยาต้านมะเร็ง “Keytruda” ในช่วงเดือนตุลาคมที่มีการรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 บริษัทเมอร์คสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ยอดขายตลอดทั้งปีและตัวเลขผลกำไรได้เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกันโดยมียาอย่าง Keytruda เป็นพระเอก
ด้วยแนวโน้มของราคาที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ และการปันผลกำไรคืนสู่นักลงทุนมากถึง 2.82% ทำให้หุ้นของเมอร์คถือเป็นตัวเลือกที่ดีในการลงทุนระยะยาวกับหุ้นกลุ่มบริการสุขภาพ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหุ้นเมอร์คมีราคาปิดอยู่ที่ $85.44 ปรับตัวลดลง 1% ในวันนั้นแต่ถ้ามองย้อนกลับไปตั้งแต่ 5 ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันจะพบว่าหุ้นเมอร์คปรับตัวขึ้นมามากกว่า 40%
อย่างไรก็ตามมีรายงานว่าบริษัทคู่แข่งสามารถผลิตยาที่ช่วยบรรเทามะเร็งที่บริเวณไตได้ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีเช่นกัน นักลงทุนจึงสนใจว่าเมอร์คจะมีกลยุทธ์อย่างไรออกมาต่อกรกับคู่แข่งเพื่อรักษาอันดับของตัวเองในวงการต่อไปได้