อ้างอิงจากข้อมูลรายงานผลประกอบการของแอปเปิ้ลเมื่อวันอังคารพบว่าบริษัทแอปเปิ้ล (NASDAQ:AAPL) สามารถสร้างสถิติตัวเลขผลประกอบการใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์และที่น่าตกใจกว่านั้นคือผู้ที่ช่วยให้แอปเปิ้ลได้สถิตินี้มาคือผลิตภัณฑ์อย่างไอโฟนที่หลายๆ สำนักคาดการณ์ว่าตัวเลขผลกำไรของไอโฟนนั้นหยุดเติบโตไปแล้ว
มูลค่าของผลกำไรต่อหุ้นแอปเปิ้ลที่คาดว่าจะได้รับออกมาสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 1.6% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ $4.99 หรือ $4.54 กลายเป็นว่าตัวเลขที่ออกมาเพิ่มขึ้นเป็น $6.22 ต่อหุ้นและตัวเลขผลประกอบการที่กล่าวกันว่าคือประวัติศาสตร์หน้าใหม่มีตัวเลขอยู่ที่ $91,820 ล้านเหรียญสหรัฐ การปันผลกำไรต่อหุ้นในรอบนี้ถือว่าดีที่สุดจากการรายงานผลประกอบการใน 26 ไตรมาสของบริษัท
สำหรับสถิติใหม่ของแอปเปิ้ลในครั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับผลิตภัณฑ์อย่างไอโฟนที่สามารถทำกำไรให้กับบริษัทได้มากถึง $55,960 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นอัตราการเติบโตแบบปีต่อปีอยู่ที่ 7% นอกจากนี้ด้วยการจัดการที่ดีและภาพลักษณ์การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมของแอปเปิ้ลที่มีต่อเชื้อไวรัสโคโรนาในประเทศจีนทำให้แอปเปิ้ลได้คะแนนจากกระแสเชิงบวกด้านนี้ด้วย
แม้ว่าแอปเปิ้ลจะทำผลงานได้ดีมากเพียงใดแต่นักลงทุนก็ต้องไม่ลืมพิจารณาจากสถานการณ์ความเป็นจริงถึงปัจจัยที่อาจเข้ามากระทบหุ้นแอปเปิ้ลด้วย นอกจากสถานการณ์ของไวรัสโคโรนาแล้วยังมีเรื่องการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ เกี่ยวกับนโยบายทางการเงินที่พึ่งผ่านพ้นมาซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่จะฉุดหุ้นแอปเปิ้ลให้ลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ ที่ใช้คำว่า “เมื่อไหร่ก็ได้” เพราะตอนนี้ดูจากกราฟทางเทคนิคแล้วหุ้นแอปเปิ้ลเหมือนจะเริ่มออกมาการว่าต้องการพักตัวบ้างแล้ว
เมื่อเทียบหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชื่อดังตัวอื่นๆ จะพบว่าการปรับตัวลดลงมาของแอปเปิ้ลยังดูไม่แย่เท่าไหร่นัก หุ้นของแอมะซอน (NASDAQ:AMZN) ปรับตัวลดลง 4.45% ในขณะที่หุ้นเฟสบุ๊ก (NASDAQ:FB) ปรับตัวลดลง 4.13% แม้ว่าในวันอังคารจะมีการดีดตัวกลับขึ้นมา 2.02% แล้วส่วนหุ้นของไมโครซอฟท์ (NASDAQ:MSFT) ปรับตัวลดลง 2.88%
หุ้นของแอปเปิ้ลปรับตัวลดลง 3.28% จากจุดสูงสุดของราคาที่ $323.32 อย่างไรก็ตามตอนนี้หุ้นของบริษัทสามารถกลับมายืนเหนือเส้นแนวโน้มขาขึ้นที่ลากมาตั้งแต่จุดต่ำสุดของราคาในวันที่ 3 ธันวาคมได้อีกครั้ง ก่อนที่จะมีรายงานผลประกอบการหุ้นแอปเปิ้ลได้ปรับตัวลดลงมา 0.48% ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าเป็นการปรับตัวลดลงเพื่อรอขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ในช่วงที่ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิดทำการแล้ว
แม้ราคาจะกลับขึ้นไปยืนเหนือเส้นแนวโน้มขาขึ้นได้แล้วแต่อินดิเคเตอร์ทั้งสองอย่าง MACD และ RSI ต่างก็ให้สัญญาณของแนวโน้มขาลงแล้ว ดังนั้นเทรดเดอร์ที่ไม่รักในความเสี่ยงควรจะดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยพิจารณาอีกทีหลังจากที่กราฟสามารถยืนเหนือเส้นแนวโน้มขาขึ้นได้จริงๆ
กลยุทธ์การเทรด
เทรดเดอร์ที่ไม่ชอบความเสี่ยง ควรรอให้กราฟลงมาอย่างน้อยให้ถึงระดับราคา $250 หลังจากนั้นค่อยรอดูปริมาณการเทขาย
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง อาจลองวางคำสั่งซื้อเมื่อราคาลงมาถึงประมาณ $300 และรอดูสัญญาณการปรับฐานของราคา
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้สูง วางคำสั่งขายหลังจากที่กราฟขึ้นไปทดสอบแนวต้านซึ่งเป็นจุดสูงสุดของราคาอีกครั้ง
ตัวอย่างการเทรด (สำหรับการวางคำสั่งขาย)
- จุดเข้า: $325
- Stop-Loss: $330
- ความเสี่ยง: $5
- เป้าหมายในการทำกำไร:$310
- ผลตอบแทน: $15
- อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:3