แม้ว่าสัปดาห์นี้จะเต็มไปด้วยการรายงานผลประกอบการจากบริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ ใหญ่ๆ แต่สิ่งที่ตลาดกำลังจับตาดูอย่างใกล้ชิดคือสถานการณ์ของเชื้อไวรัสโคโรน่าจากประเทศจีนที่ตอนนี้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 56 คน ที่สำคัญคือพบผู้ติดเชื้อในหลายๆ ประเทศมากขึ้นอย่างเช่น สหรัฐฯ ออสเตรเลียและฝรั่งเศส
ความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อเชื้อไวรัสอู่ฮั่นทำให้ดัชนีดาวโจนส์มีราคาปิดลดลง 170 จุดเมื่อวันศุกร์ ดัชนี S&P 500 และดัชนีแนสแด็กก็แสดงสัญญาณอ่อนแรงเช่นเดียวกัน ดัชนีทั้งสามต่างชะลอความร้อนแรงของแนวโน้มขาขึ้นลงทั้งที่ก่อนหน้านี้ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อยู่ทุกวัน
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์แห่งความหวาดวิตกเช่นนี้ นักลงทุนก็ไม่อาจจะละสายตาจากตัวเลขผลประกอบการจากบริษัทใหญ่ๆ ได้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี 3 ตัวที่เราคัดมาต่อไปนี้คือบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดีซึ่งยักษ์ทั้ง 3 ตนจะรายงานผลประกอบการออกมาในสัปดาห์นี้
1.Apple
แอปเปิ้ล (NASDAQ:AAPL) บริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าของสมาร์ทโฟนพลิกโลกอย่างไอโฟนจะรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2020 ให้ทราบในวันอังคารที่ 28 มกราคมหลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิดทำการ
ตั้งแต่ปีที่แล้วมาจนถึงปีปัจจุบันจะเห็นได้ว่าหุ้นของบริษัทแอปเปิ้ลทำผลงานได้ดีมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งปีที่แล้วที่หุ้นบริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปริมาณความต้องการไอโฟนและอุปกรณ์เสริมการใช้งานอื่นๆ สำหรับการรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 นี้ นักวิเคราะห์ต้องการจะดูว่าหุ้นของแอปเปิ้ลเป็นอย่างไรบ้าง? จะยังคงขึ้นอย่างแข็งแกร่งอยู่หรือไม่หลังจากที่ผ่านช่วงวันหยุดปีใหม่มาจนมาถึงสถานการณ์ของเชื้อไวรัสโคโรน่าในปัจจุบัน
กลุยุทธ์ทางการตลาดของแอปเปิ้ลถือว่าเปลี่ยนไปมากนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2019 ที่บริษัทตั้งใจจะขายอุปกรณ์และบริการต่างๆ ซึ่งช่วยยกระดับการใช้งานอุปกรณ์ของแอปเปิ้ลให้ดียิ่้งขึ้น การเพิ่มบริการอย่างเช่นที่เก็บข้อมูลบน iCloud หรือแอปเปิ้ล มิวสิคทำให้ธุรกิจของบริษัทมีเสถียรภาพขึ้น นักลงทุนจึงมีความมั่นใจว่าหุ้นของแอปเปิ้ลจะยังคงปรับตัวขึ้นไปได้อีก ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานักวิเคราะห์จากหลายสำนักได้เพิ่มตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรของแอปเปิ้ลสูงขึ้น พวกเขาคาดว่าหุ้นของแอปเปิ้ลจะสามารถปันผลกำไรต่อหุ้นได้ที่ $5.54 ต่อหุ้น มียอดขายรวมทั้งสิ้น $88,380 ล้านเหรียญสหรัฐแม้ว่าเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหุ้นของแอปเปิ้ลจะมีราคาปิดต่ำลงมาก็ตาม
2.Facebook
เฟสบุ๊ก (NASDAQ:FB) สื่อโซเชียลมีเดียชื่อดังของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์กจะมีรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ปี 2019 ในวันพุธที่ 29 มกราคมหลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิดทำการ คาดว่าบริษัทจะสามารถทำกำไรได้ $28,900 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $2.52
หุ้นของเฟสบุ๊กสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ในเดือนนี้ เมื่อวันศุกร์หุ้นของบริษัทสามารถสร้างจุดปิดได้ที่ $217.94 ปรับตัวลดลง 0.8% ซึ่งเป็นการกลับมาจากจุดต่ำสุดของราคาในปี 2018 หลังจากที่บริษัทต้องประสบปัญหาทางกฏหมาย
การกลับตัวขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งของหุ้นเฟสบุ๊กเกิดขึ้นหลังจากปี 2018 แห่งความวุ่นวาย ในช่วงนั้นเฟสบุ๊กต้องเผชิญปัญหามากมายทั้งปัญหาทางการเมือง ความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน และเรื่องข้อมูลของผู้ใช้งานรั่วไหล แม้ปัญหาจะยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลและ CEO ของบริษัทก็ได้ออกมาบอกว่า “ปีนี้จะเป็นปีที่หนักของเฟสบุ๊ก” แต่หุ้นของบริษัทก็ยังถือว่าทำผลงานได้ดี ในไตรมาสที่ 3 มีรายงานว่าบริษัทมีผู้เปิดบัญชีใช้งานเฟสบุ๊กใหม่มากถึง 2.8 ล้านคนและตัวเลขของผู้ชำระค่าบริการรายเดือนของเฟสบุ๊กยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
สัปดาห์นี้จึงเป็นสัปดาห์ที่สำคัญมากสำหรับนักลงทุน เราอาจจะได้เห็นว่ามาร์ก ซักเคอร์เบิร์กแสดงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงของบริษัทที่มีต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีนี้และความคืบหน้าของบริษัทในแง่ของกฏหมายที่ยังคงมีคดีความกันอยู่
3.Microsoft
ไมโครซอฟท์ (NASDAQ:MSFT) บริษัทเจ้าของระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ชื่อดัง “วินโดว์ (Windows)” จะรายงานผลประกอบการบริษัทของไตรมาสที่ 2 ปี 2020 ในวันพุธที่ 29 มกราคม คาดว่าบริษัทจะสามารถทำกำไรได้ $35,700 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.32
หากราคาในอดีตสามารถบ่งบอกพฤติกรรมราคาในอนาคตจริง กราฟหุ้นไมโครซอฟท์ก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของคอมพิวเตอร์และการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทว่าสำคัญมากแค่ไหนและการดำเนินการของบริษัทในทิศทางนี้คือสิ่งที่ถูกต้อง
หุ้นของบริษัทไมโครซอฟท์ถือว่าทำผลงานได้ดีมากสำหรับนักลงทุนที่เชื่อมือในการบริหารของ CEO บริษัทอย่างคุณสัตยา นาเดลลา จากกราฟหุ้นของบริษัทแสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่เข้าที่เข้าทางของไมโครซฟอท์แม้ว่าวันศุกร์ที่ผ่านมาหุ้นของบริษัทจะมีราคาปิดลงลงเหลือ $165.04 จากจุดสูงสุดอันเป็นสถิติของราคาเมื่อวันอังคารที่ $168.19
ความแข็งแกร่งของราคาหุ้นนี้มาจากการรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ของปี 2020 ที่ยอดขายและผลกำไรบริษัทยังคงมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง กำไรของบริษัทเติบโตมาจากบริการคลาวด์ “อาชัวร์ (Azure)” ที่ปรับตัวสูงขึ้น 59% ในไตรมาสล่าสุดแม้ว่าไตรมาสก่อนหน้าแม้จะมีตัวเลขการชะลอตัวของอัตราการเติบโตในไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 64% และ 73% ในไตรมาสก่อนหน้านั้น หุ้นของบริษัทอาจปรับตัวลดลงได้ถ้าตัวเลขการเติบโตในรอบนี้ออกมาชะลอตัวอีกครั้งหนึ่ง