หลังจากที่ผ่านสัปดาห์แห่งการเซ็นสัญญาการค้าขั้นแรกระหว่างสหรัฐฯ - จีนไปแล้วและบางบริษัทใหญ่ๆ ของสหรัฐฯ ก็ทยอยออกมาเปิดเผยตัวเลขผลประกอบการในไตรมาสสุดท้ายของปี 2019 และในสัปดาห์นี้ก็ถึงคิวของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการบริโภค
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนี S&P 500 สร้างสถิติจุดสูงสุดใหม่ได้อีกครั้งคิดเป็นการปรับตัวขึ้นตั้งแต่เริ่มปีใหม่ 3% หุ้นของบริษัทมีส่วนสำคัญอย่างมากในช่วงเวลาที่ดัชนีสำคัญๆ ของสหรัฐฯ ขยันสร้างจุดสูงสุดใหม่ในทุกๆ สัปดาห์ ไม่ใช่เฉพาะแสดงให้เห็นถึงเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทสัญชาติอเมริกันอีกด้วย และในสัปดาห์นี้ที่กำลังเริ่มเข้าสู่ช่วงปลายเดือนแรกของปี 2020 เรามีหุ้น 3 ตัวที่น่าสนใจมานำเสนอให้กับผู้อ่านอีกเช่นเคย
1. Netflix
ยุคที่การรับชมภาพยนตร์แบบสตรีมมิ่งกำลังเฟื่องฟูอย่างนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักยักษ์ใหญ่ผู้บุกเบิกวงการภาพยนตร์สตรีมมิ่งอย่างเน็ตฟลิกซ์ (NASDAQ:NFLX) ซึ่งทางบริษัทจะมีรายงานตัวเลขผลประกอบการในวันอังคารที่ 21 มกราคมหลังจากปิดตลาดหุ้น นักวิเคราะห์คำนวณว่าโดยเฉลี่ยแล้วหุ้นของเน็ตฟลิกซ์จะสามารถทำกำไรได้ $0.52 ต่อหุ้นและมียอดขายทั้งหมดอยู่ที่ $5,450 ล้านเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตามบททดสอบจริงๆ ของเน็ตฟลิกซ์ในปีนี้กำลังพึ่งจะเริ่มต้น นอกจากพวกเขายังต้องแสดงให้เห็นตัวเลขอัตราการเติบโตและยอดผู้สมัครสมาชิกที่เพิ่มสูงขึ้นแล้วในปีนี้เน็ตฟลิกซ์ยังต้องรับมือคู่แข่งคนสำคัญหลายๆ จ้าวอย่าง Apple (NASDAQ:AAPL) ที่มีบริการท้าชนอย่าง Apple TV+ และยักษ์ใหญ่แห่งวงการภาพยนตร์อย่าง Disney (NYSE:DIS) ที่พึ่งเปิดตัวบริการ Disney + ไปเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว
อ้างอิงข้อมูลการวิเคราะห์จากบลูมเบิร์กและวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่าปีนี้นักลงทุนในหุ้นเน็ตฟลิกซ์จะไม่สนใจตัวเลขผู้สมัครเป็นสมาชิกที่เพิ่มขึ้นไม่ว่าจะทั้งจากในประเทศหรือต่างประเทศ พวกเขาคาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 4 นี้เน็ตฟลิกซ์จะมีตัวเลขกำไรอยู่ที่ $1.83 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับในประเทศและจะมี $7.38 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับต่างประเทศ
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าจับตามองก็คือในปีที่ผ่านมาหุ้นของบริษัทเน็ตฟลิกซ์ถือว่าทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีด้วยกันตัวอื่นๆ สาเหตุหนึ่งมาจากนักลงทุนเริ่มวิตกเกี่ยวกับคู่แข่งที่จะเข้ามาในวงการสตรีมมิ่งมากขึ้นในปี 2020 นี้
อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้หุ้นก็ของบริษัทก็ยังสามารถปรับตัวขึ้นมาได้ เมื่อเดือนธันวาคมปี 2018 หุ้นของเน็ตฟลิกซ์สามารถปรับตัวขึ้นมาได้ 50% และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหุ้นของเน็ตฟลิกซ์ก็มีราคาปิดอยู่ที่ $339.67 คาดว่าเป็นเพราะนักลงทุนคาดหวังว่าจะได้เห็นตัวเลขผลประกอบที่สูงขึ้นของเน็ตฟลิกซ์ในวันอังคารนี้
2. Proctor & Gamble (P&G)
บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของโลกอย่างพีแอนด์จี (NYSE:PG) จะมีการรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ปี 2020 ในวันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคมก่อนที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเปิด นักวิเคราะห์คาดว่าโดยเฉลี่ยแล้วกำไรที่จะได้ต่อหุ้นจะอยู่ที่ $1.37 และมีกำไรจากยอดขายรวมทั้งหมดอยู่ที่ $18,400 ล้านเหรียญสหรัฐ
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหุ้นของ P&G มีรายปิดอยู่ที่ $126.41 คิดเป็นการปรับตัวขึ้นมาตลอด 12 เดือนอยู่ที่ 40% นักลงทุนยังคงทำให้หุ้นของ P&G สามารถปรับตัวขึ้นสูงได้อีกด้วยความคาดหวังว่าจะได้เห็นอัตราการเติบโตของบริษัทที่ยังคงแข็งแกร่งอยู่แม้ว่าที่ผ่านมาหุ้นของบริษัท P&G จะยังคงสามารถเติบโตได้ 5 ไตรมาสติดต่อกันแล้วก็ตาม
ในช่วงสองปีล่าสุดผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคทั่วไปอย่าง สบู่ กระดาษชำระ ยาสีฟัน ฯลฯ ยังคงมียอดขายที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและด้วยเทคโนโลยีของบริษัท P&G จึงยังสามารถทำให้บริษัทมีอัตราการเติบโตทางยอดขายที่ดีขึ้น เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ที่เป้นสินค้าออร์แกนิกของบริษัท P&G มียอดขายที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสแรก 7% ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าบริษัทยังคงมียอดขายที่ดีเมื่อเทียบกับตัวเลขของผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันในไตรมาสก่อนหน้าที่มียอดขายผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกรวดเร็วที่สุด
3. Intel
บริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่อย่างอินเทล (NASDAQ:INTC) จะมีการรายงานตัวเลขผลประกอบการของไตรมาสที่ 4 ปี 2019 ในวันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคมหลังจากปิดตลาดหุ้นสหรัฐฯ เชื่อว่าบริษัทอินเทลจะมีตัวเลขยอดปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.25 และมีกำไรจากยอดขายอยู่ที่ $19,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
รายงานผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดของบริษัทอินเทลถือว่าทำได้น่าประทับใจเพราะทั้งตัวเลขยอดขายและตัวเลขทำกำไรออกมาสูงกว่าที่คาดการณ์ทั้งสิ้นจึงทำให้ตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 สูงตามไปด้วย ตัวเลขในแดนบวกเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการชะลอตัวของออเดอร์สินค้าและปัญหาด้านกระบวนการผลิตของบริษัทลงได้
ที่ผ่านมาบริษัทอินเทลถือเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ที่ทำกำไรได้อย่างมหาศาลในสหรัฐฯ มาก พวกเขาได้ประโยชน์จากความต้องการชิปคอมพิวเตอร์ในตลาดอย่างสูงเรื่องมา ดังนั้นในไตรมาสที่ 4 นักลงทุนจึงต้องการเห็นว่าปริมาณความต้องการนั้นจะยังอยู่มีอยู่หรือใหม่ซึ่งจะส่งผลถึงภาพรวมของบริษัทในปี 2020 อีกด้วย
หุ้นของบริษัทอินเทลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมามีจุดปิดของราคาอยู่ที่ $59.60 ถือเป็นการดีดกลับมาของหุ้นในรอบสามเดือนที่มีการชะลอตัวลงในระยะสั้นๆ เมื่อปีที่แล้ว เชื่อว่าในสัปดาห์นี้หุ้นของบริษัทอินเทลจะยังคงสามารถปรับตัวขึ้นได้อีก