ลองพิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1926 ซึ่งเป็นปีแรกที่ยกมาใช้อ้างอิงในบทความนี้ ในช่วง 20 หรือ 30 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่ดัชนี S&P 500 จะให้ผลตอบแทนติดลบเลยสักครั้ง แต่ก็ยังไม่วายที่นักลงทุนจำนวนมากในปัจจุบันกลับสนใจแต่เพียงว่าผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 ตลอดระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมาแทบไม่ขยับเลย
การตัดสินใจลงทุนโดยอ้างอิงถึงผลตอบแทนของปีเดียวโดยไม่คำนึงถึงช่วงเวลาในระยะยาวเลยถือว่าเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องเลย เพราะหากคุณนำเงินมาลงทุนในดัชนี S&P 500 ไม่ว่าจะใน ปีใดก็ตาม แล้วทิ้งเงินนั้นไว้เป็นเวลาอย่างน้อย 20 ปี ผลตอบแทนที่คุณจะได้รับจะมีค่าเพิ่มขึ้น เสมอ
ผลงานดัชนี S&P 500 ในช่วงเวลานานกว่า 20 ปีตั้งแต่ปี 1926-2018
นักลงทุนที่ยังอายุไม่มากอาจจะรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นข้อมูลนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนค่อนข้างมากอย่างในปัจจุบัน เพราะในอดีตก็มีอยู่หลายครั้งที่เศรษฐกิจสามารถขยายตัวขึ้นได้เช่นกัน ตั้งแต่ปี 1929 ถึง 1932 ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยอย่างหนัก ดัชนี S&P 500 ปรับลดลงเป็นเวลาสี่ปีติดต่อกัน รวมทั้งในปี 1931 ซึ่งเป็นปีที่ดัชนีตลาดหุ้นร่วงหนักที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง -43.34%
แม้กระนั้น ผลตอบแทนในช่วงเวลา 20 ปีนับจากก่อนเกิดวิกฤติปี 1929 เพียงไม่นานยังมีมากถึง +84% ซึ่งอาจจะดูเหมือนว่าให้ผลตอบแทนที่ยังไม่ดีเท่าที่ควรหากพิจารณาเทียบกับผลตอบแทนระยะ 20-30 ปีในช่วงอื่น แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่าช่วงเวลาดังกล่าวคือช่วงที่ตลาดหุ้นตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจสหรัฐฯ
เมื่อไม่นานมานี้ในปี 2000 ถึง 2002 ดัชนี S&P 500 มีการปรับตัวลดลงสามปีต่อเนื่องเช่นกัน หากนำเงินไปลงทุนในดัชนีนี้ในวันที่ 1 มกราคม 2000 ภายในสามปีหลังจากนั้นก็น่าจะได้รับผลตอบแทนติดลบที่ -37%
ในเวลานั้น การขายออกน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด แต่เมื่อพิจารณาย้อนกลับไปมันคือการเสียกับเสียเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นอีก 19 ปีถัดมา เงินลงทุนจำนวนนั้นจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้เท่ากับ +146% แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะต้องขาดทุนไปถึงเกือบ 40% ของทุนที่มี แต่สุดท้ายแล้วก็สามารถกลับมามีกำไรได้ในที่สุด ในทำนองเดียวกัน หากนักลงทุนยังถือหุ้นไว้ต่อไปในระยะยาวก็จะสามารถผ่านพ้นวิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นในปี 2008 ได้เช่นกัน
หากพิจารณาวิกฤติฟองสบู่ยุคอินเทอร์เน็ตบูม (วิกฤติดอทคอม) และวิกฤติทางการเงินที่ต่างก็เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวเช่นกันก็จะพบว่าหากทิ้งเงินลงทุนไว้เป็นเวลา 20 ปี นักลงทุนจะยังได้รับผลตอบแทนเป็นบวกอยู่
แน่นอนว่าผลตอบแทนในช่วงเวลา 20 ปีแต่ละช่วงย่อมไม่เท่ากัน หากคุณยังเป็นมือใหม่หรือเป็นนักลงทุนอายุน้อยที่เพิ่งเริ่มต้น คุณควรพิจารณาผลตอบแทนในช่วงเวลาอย่างน้อย 10 ปีขึ้นไปเท่าที่คุณจะสามารถตรวจสอบได้
ช่วงเวลาที่ดีที่ดัชนีทำผลงานได้ดีที่สุดจากข้อมูลในตารางนี้คือช่วงปี 1980-1999 ซึ่งรวมเอาช่วงที่เศรษฐกิจกำลังบูมในยุคปี 80 ไปจนถึงวันสุดท้ายของวิกฤติดอทคอมไปด้วยแล้วนั้น ดัชนี S&P สามารถปรับตัวขึ้นไปได้ถึง +2583% ซึ่งก็หมายความว่าหากคุณวางเงินลงทุนเริ่มต้นจำนวน $10,000 หลังจากนั้น 20 ปีคุณจะมีเงินถึง $268,300
ผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วงเวลา 20 ปีของดัชนี S&P 500 คือ +820% และมีค่ามัธยฐานอยู่ที่ +735% การนำเงินไปลงทุนในช่วงยุคปี 70 ผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วงเวลา 20 ปีจะคิดเป็น +1300% หากใช้เงินลงทุนจำนวนเท่าเดิม คุณจะได้รับผลตอบแทนเพียง +385% ในยุคปี 90
แต่ไม่ว่าคุณจะเกิดในยุคไหน คุณก็ยังมีสิทธิ์เลือกที่จะลงทุนหรือไม่ก็ได้
หากดูจากตัวเลขสถิติ ยังไงแล้วผลตอบแทน +385% ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย และหากว่าคุณอายุมากแล้วและคิดว่าไม่น่าจะอดทนรอได้อีกถึง 20 ปี ให้ลองคิดตาม สุภาษิตกรีกโบราณ ที่ว่า 'ครอบครัวจะมีความมั่งคั่งในอนาคต หากปู่ย่าตายายเลือกลงทุนในหุ้นเพื่อให้เกิดดอกผลที่รู้อยู่แล้วว่าตนเองจะไม่มีโอกาสได้ใช้'
ท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าการจับจังหวะที่เหมาะสมของตลาดจะจำเป็นต้องใช้ประสบการณ์เป็นอย่างมากประกอบกับดวงของแต่ละคน ซึ่งหลายๆ คนก็มักจะเลือกช่วงเวลาได้ไม่ถูกต้องนัก แต่ข่าวดีก็คือคุณไม่จำเป็นต้องพยายามหาจังหวะในการเข้าตลาดแต่อย่างใด เพราะแม้ว่าผลงานในอดีตจะไม่สามารถนำมาใช้วัดผลงานในอนาคตได้ แต่ประวัติศาสตร์บอกให้เราทราบได้ว่า หากพิจารณาในระยะยาว ความเป็นอยู่ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจต่างๆ จะพัฒนาและเติบโตต่อไปได้เรื่อยๆ ดังนั้นอย่าให้ความหุนหันพลันแล่นที่เกิดจากปัจจัยต่างๆ มาเป็นตัวขัดขวางความมั่งคั่งในอนาคตระยะยาวของคุณ